วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

งานรวมพล คนแซ่ตง ครั้งที่ ๑



กำหนดการรวมพลคนตง  ครั้งที่ 1

วันที่ 20 ตุลาคม 55 

เช้า สถานที่ 
วัดวุฒาราม อ.เมือง จ.ขอนแก่น

9.30-10.30 พิธีไหว้บรรพบุรุษ ต้นตระกูลแซ่ตง
                     และบรรพชนรุ่นแรกที่เข้ามาเมือง ไทย 4 สาย

10.30-11.00 ทำบุญอุทิศส่วนกุศล และ เลี้ยงพระเพล
 
11.30-12.30 รับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน


เย็น สถานที่ โรงแรมขอนแก่นโฮเต็ล อ.เมือง จ.ขอนแก่น

16.30-17.00น   ลงทะเบียน งานรวมพลคนตงครั้งที่ 1

17.00 -19.00น. บายศรีสู่ขวัญญาติผู้ใหญ่และผู้อาวุโส

19.00-19.30 น. กล่าวเปิดงานโดย นาย ประชิต ตงศิริ
                           และกล่าวต้อนรับโดยนาย สะอาด ตงศิริ

                           ร่วมกันร้องเพลงเปิดงาน "ลอดลายมังกร"

19.30-21.00น. ตามรอย "คนตง" โดย อ.วรวิทย์ ตงศิริ

21.00- 22.00น ถ่ายรูป "คนตง 2555"

22.00-22.30 น คำขอบคุณจากลูกหลาน ตงศิริ ขอนแก่น
                         โดย นายนรินทร์ ตงศิริ

กล่าวปิดงานโดย นายประสาท ตงศิริ

 มีญาติบางส่วนที่ต้องการพักที่โรงแรมขอนแก่นโฮเต็ล
 กรุณา แจ้งจำนวนและประเภทห้องพัก
ได้ตั้งแต่บัดนี้ ถึง 12.00 วันที่ 19 ตค 55
ที่ นายณรงค์ชัย ตงศิริ (ตั้ง) 089-7120337
สามารถเช็คอินได้ตั้งแต่เวลา12.00 ของวันที่ท่านจะเข้าพัก
ค่าใช้จ่ายในงานทั้งช่วงเช้าและเย็น
บางส่วน ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว
ประสิทธิ์ ตงศิริ(สายตงกวงเต็ง)
และป้าพวงเพ็ชร วงษ์โกวิท(สายตงกวงตุ่น)
ญาติท่านใดประสงค์ร่วมสนับสนุนการจัดงาน
สามารถสมทบได้ที่หน้างาน

ขอความกรุณา เผยแพร่ข่าวให้ญาติพี่น้องของเราด้วย
 

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บทที่ ๖ แซ่ตงในประเทศไทย


บทที่ ๖
แซ่ตงในประเทศไทย

                จากการสอบถาม ตงกวงอิ้ว บ้านโนนสะอาด จังหวัดอุดรธานี และเอกสารประวัติของ  ตงซีคิว ตงซีเค้งอ ตงซีคี และตงซีคิ่ว ซึ่ง  ตงกวงตุ่ย   ได้เขียนไว้มาประมวลเหตุการณ์เข้าด้วยกันแล้ว  คนในตระกูล แซ่ตง หรือ แต่ตง   ในภาษาไหหลำ คงจะเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ ประมาณ พ.ศ.๒๔๒๔  ถึง พ.ศ.๒๔๓๐  สมัยรัชกาลที่ ๕  กรุงรัตนโกสินทร์  นับอายุ แต๊ต๋ง  สายสกลนคร ได้ประมาณ ๑๓๐ ปี
   


               ทั้งนี้อาศัยคำนวณจากการเดินทางมาอยู่จังหวัดสกลนครของ ตงซีกิว เมื่อ พุทธศักราช ๒๔๔๕ หักอายุตอนอยู่เมื่องจีน 20 ปี และหักจากการเข้ามาทำงานกรุงเทพ อีก ๑ ปี  เท่ากับประมาณ พ.ศ.๒๔๒๔ ถึง พ.ศ.๒๔๓๐  และคำนวณจากปีเกิดลูกชายคนแรก คือ ตงเค่งล่ง (ลุงวิสุทธิ์ ตงศิริ)  ซึ่งตรงกับ  พ.ศ.๒๔๔๙ และมี ปีเกิดของ ตงเค่งพ่ง (ลุงนิล จงเจริญ) ปี พ.ศ.๒๔๕๑

               จากเอกสารที่รวบรวมจากสายบุรัรัมภ์ ซึ่ง ดร.กฤษดา  แสวงดี ตงศิริ  ค้นคว้าไว้เล่าว่า ก๋ง  ตงเค่งลี่  เดินทางมาจากใหหลำ ไปแวะทำงานอยู่ที่สิงคโปร์ แล้วตามญาติเข้ามาเมืองไทยที่จังหวัดบุรีรัมภ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๕  ดังนั้น  แต๊ตง คนแรกสุดที่เข้ามาสยามประเทศ ต้องมีอายุ ๑๕๐ ปี

               จากหนังสือประวัติของ  ตงเค่งพ่ง (นิล  จงเจริญ) และจากคำบอกเล่าของ  ตงกวงอิ้ว (ชาญยุทธ  ตงศิริ ) บ้านโนนสะอาด  จังหวัดอุดรธานี (ปีนี้ พ.ศ.๒๕๕๔  อายุ ๘๗ ปี)  ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางมาเมืองไทยของบรรพบุรุษ   แซ่ตง   ดังนี้   



     กลุ่มที่ ๑ ตงซีกิว จีนไหหลำคนแรกที่มาสร้างตำนานในจังหวัดสกลนคร



     ตงซีคี น้องชาย ตงซีกิว จีนไหหลำคนแรกที่สร้างตำนานในอำเภอนาแก นครพนม
    ตงซีคิ่ว น้องชาย คนที่สองของ ตงซีกิว ที่ร่วมทางไปสร้างตำนานที่ อ.นาแก นครพนม

    กลุ่มที่ ๒   ตงเค่งเหียน  ตงเค่งลี่  ตงเค่งจี้ 
 



   จากรูปคนซ้าย ตงเค่งเหียน
คนกลาง ตงเค่งลี่   
คนขวา ตงเค่งจี้   

            ทั้งสามท่านได้เดินทางจากเกาะห่หนาน หรือที่คนไทยออกเสียงเรียกว่า  หหลำ  เนื่องจากเกิดความวุ่นวายมีโจรผู้ร้ายโจรปล้นสดมภ์ในเมืองบวั่นเซียวกวย  ทั้งสามท่านจึงลงเรือโดยสารมาลงที่สิงคโปร์ ก่อน ได้ทำการค้าขายหลายปีแล้วเดินทางมาเยี่ยมญาติที่บุรีรัมภ์ แต่งงานกับนางลอย และมีลูกหลานสืบสกุล เป็นผู้ใหญ่ที่มีบทบาททางการค้าและสังคมหลายท่าน อาทิ ตงกวงเต็ง ตงกวงตุ่น สายบุรีรัมภ์ พุทไธสงค์ ขอนแก่น 
           ครั้งแรกประกอบอาชีพเปิดร้านขายกาแฟ ขายก๊วยเตี๋ยว อยู่ประมาณ ๑๐ ปี  หลังจากนั้นได้สังเกตดูว่าที่บุรีรัมภ์มีป่าไม้มากและการตัดไม้ไม่ได้มีการเสียภาษี  จึงได้หาเลื่อยแบบสองคนดึงกลับไปมา (เรียกว่าเลื่อยแม่มาน) จากไหหลำมาจ้างชาวบ้านเลื่อยไม้ขาย  เวลาจะขายก็กองไว้ริมถนน
          ต่อมาทั้งสามท่านทราบข่าวว่า ที่จังหวัดชลบุรีมีโรงเลื่อยไม้เจ้าของเป็นฝรั่งชาวเยอรมัน จึงเดินทางไปสอบถามว่ามีโรงเลื่อยขนาดเล็ก  2 แรงม้าหรือไม่  ฝรั่งบอกว่ามีเลยติดต่อขอซื้อเครื่องขนาดเล็กมาติดตั้ง ประกอบกับพนักงานส่วนมากเป็นจีนไหหลำ  จึงมีการถ่ายทอดวิชาการเลื่อยไม้ให้กัน

          โรงเลื่อยไม้โรงแรกชื่อว่า  เอี๊ยะเฮงเส็ง  ต่อมาขยายกิจการไปตั้งอยู่ที่ชุมทางรถไฟจีระ   อำเภอบ้านไผ่  บ้านหนองแหน  ขอนแก่นและอื่น รวม ๕  โรง ทั้งนี้กิจการเลื่อยไม้ได้ขยายไปในหมู่ญาติพี่น้องหลายคนก็เข้าร่วมงานกันด้วย

           การดำเนินกิจการโรงเลื่อยไม้ครั้งแรกอาศัยช่างจีนจากเกาะใหหลำมาสอนพนักงานคนไทย  ซึ่งก็คือ ญาติพี่น้องลูกหลานนั่นเอง  

        ตงกวงอิ้ว เล่าให้ฟังเมื่อวันที่ ๒๑  ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๕  ขณะที่ท่านพาไปดูอาคารโรงเลื่อยศิริวัฒน์เก่าที่อำเภอโนนสะอาด  อุดรธานีว่า  ตงกวงอิ้วเอง ก็ได้ศึกษาการทำบัญชีและการตัดซอยไม้ เรียกว่า  นายม้า  ที่นี่เหมือนกัน  ตอนนั้นได้เดือนหนึ่ง ๓๐๐ บาท (ก๊วยเตี๋ยวราว ๆ ๒-๓ สตางค์) 
         ตอนหลัง ก๋งตงเค่งลี่ ขึ้นเงินเดือนให้ลูกหลานทันทีอย่างมากมาย ตงกวงอิ้วได้เพิ่มเงินเดือน ตอนเป็นผู้จัดการโรงไม้ศิริวัฒน์ถึง ๓๕๐๐ บาท และเจ๊พิกุลเป็นแม่บ้านใหญ่ดูแลทุกอย่าง  ทำอาหารการกินข้าวปลาอาหารเลี้ยงดูพนักงานทั้งครอบครัว พ่อ แม่ ลูก ตลอด ๒๔ ชั่วโมง บางคนพ่อแม่ตายไป เจ๊พิกุลต้องเลี้ยงดูเด็กเหล่านั้น กลายเป็นสถานเลี้ยงเด็ก คราวละ ๗ - ๘ คน
                 (ข้อมูลตรงนี้  ขออนุญาตรบกวนญาติพี่น้องสายบุรีรัมภ์ทุกท่าน ช่วยวิเคราะห์ปรับแก้ให้ด้วย เนื่องจากไม่มีโอกาสไปสอบถามด้วยตนเอง  มัวแต่เข้าป่านั่งกรรมฐาน )

          กลุ่มที่ ๓ ตงเค่งผัง (พี่ชาย)  ตงเค่งเสียง(เซี้ยง น้องชาย) ตงเค่งผวน
          ทั้งสองท่านต่างเป็นเครือญาติลูกพี่ลูกน้องกับคณะที่สอง  ได้ตามมาอาศัยอยู่ด้วยกันที่บุรีรัมภ์ก่อน พอหาช่องทางทำมาค้าขายได้แล้ว จึงได้แยกมาทำอยู่ที่อำเภอพุทไธสงค์ และอำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น  ครั้งแรกประกอบอาชีพค้าขายสินค้าเบ็ดเตล็ดเล็กๆน้อยๆ  และขยายมาเป็นธุรกิจเหล้าสาโทใส่ไหเหมือนอยู่ที่อำเภอเรณูนคร  หรือสินค้าโอท้อปเหมือนทุกวันนี้

 สาแหรกของ ตงเค่งผัง    
          ตงเค่งผัง แต่งงานกับนางหล่าย คนบ้านเตย มีบุตรชาย – หญิง ดังนี้
๑.นางปาน แต่งงานกับนายเส็ง จีนแคะ
๒.นางเปะ  แต่งงานกับนายฮุ่ยเส็ง อยู่อำเภอพุทไธสงค์  จังหวัดบุรีรัมภ์
๓.ตงกวงเต็ง แต่งงานครั้งที่หนึ่งกับนางตา ภูมิชัย มีบุตร ๑ คน คือนายเก่ง
                 แต่งงานครั้งที่สองกับนางพัน ภาสะธิติมีลูกสองคนได้แก่ อุไรและประไพ
                 แต่งงานครั้งที่สามกับนางเจียมจิต มีบุตรสามคน ได้แก่ ประสิทธิ์ วิเชียร และยี่หลั่น

                 ตงกวงเต็งได้เป็นผู้พา  ตงกวงอิ้ว ไปเกาะไหหลำ  และได้แต่งงานกับสาวจีนไหหลำพาภรรยากลับมาเมืองไทย มีลูก สามคน ได้แก่ นายประสิทธิ์  ตงศิริ (เฮง)  นายสะอาด  ตงศิริ (หยี) นายวิเชียร ตงศิริ (อ่าง)

๔.ตงกวงตุ่น แต่งงานกับนางทองดี  แซ่คู
       ตงกวงตุ่นเป็นผู้มอบที่ดินจำนวนประมาณ ๕๐ ไร่ ให้รัฐบาลเพื่อสร้างโรงเรียน จึงมีโรงเรียนตงศิริราษฎรอนุสรณ์ ที่จังหวัดบุรีรัมภ์

      ทั้งสองมีบุตรชาย – หญิง  ดังนี้
           ๔.๑ นายวินิจ ตงศิริ (ตงฮีนเหม่ง)
           ๔.๒ นายวินัย ตงศิริ (ตงฮีนเซ็ง)
           ๔.๓ นายวิชัย  ตงศิริ (ตงฮีนส่วน)
           ๔.๔ นางปทุม (เสียชีวิตอยู่ที่ไหหลำ)
           ๔.๕ นางพวงเพชร  สมรสกับนายกิตติ วงศ์โกวิท  อยู่  ขอนแก่น ,กทม.
           ๔.๖ นางมาลัย
           ๔.๗ นางพิกุล สมรสกับนายวุฒิเยาวภา
           ๔.๘ นางผกา สมรสกับนายอาทร ปิตะธวัชชัย
           ๔.๙ นางลัดดา (ศศิธร) สมรสกับพลเอกอายุพูล  กรรณสูตร
            (ทุกท่านดังรายนาม  บางท่านมีรูปถ่าย  บางท่านหาไม่ได้เลย  รบกวนลูกหลานทุกท่านช่วยกันโพสรูปลงให้ด้วย)

สาแหรกของ ตงเค่งเสียง 


                      ตงเค่งเสียง มีภรรยาที่เมืองจีนแล้ว ๑ คน แต่ไม่มีลูก ตอนที่ตงกวงอิ้วลูกจากแม่เมืองไทยไปอยู่ที่เมืองจีนเกาะไหหลำได้ไปอยู่กับแม่เมืองจีน  ที่เมืองไทย  ตงเค่งเสียงได้แต่งงานกับยายทิม  (คนอำเภอชนบทแต่ไปอยู่อำเภอพุทไธสงค์) ค้าขายน้ำชากาแฟ ของเบ็ดเตล็ด  มีบุตรชายหญิง ดังนี้

ตงกวงมุ่ย ในวัยหนุ่ม

          ๑. ตงกวงมุ่ย อยู่อำเภอบ้านไผ่ ร้านบ้านไผ่บุ๊คสโตร์ แต่งงานกับนางสายบัว เป็นสาวจีนเกิดในเมืองไทยแต่ไปอยู่ที่เกาะไหหลำ  ๕  ปี  กลับมาตอนอายุ ๒๐  ปี  
          ๒. นางเพ็ญศรี  ตงศิริ (อยู่  กทม.)  แต่งงานกับนายเชิด  หรือ เชษฐ์  โคตรวิชัย 
           ๓. ตงกวงอิ้ว (นายชาญยุทธ ตงศิริ) อยู่บ้านโนนสะอาด  จังหวัดอุดรธานี เรียนชั้น ป.๒ ที่เมืองไทยไม่จบ อายุ ๘ ขวบถูกส่งไปเมืองจีน เกาะไหหลำ ๒ ปี โดยได้พี่ชาย  ตงกวงเต็ง  และพี่สะใภ้นางทองดี  ภรรยา ตงกวงตุ่น พาไปไหหลำ

             ตงกวงอิ้วแต่งงานกับนางกิมบ่วย  แซ่ลิ้ม  มีบุตรชาย – หญิง ๔  คน  ได้แก่
                   ๓.๑ นายชาญชัย  ตงศิริ (เหียนต๋ง)
                   ๓.๒ นางศิริกุล ตงศิริ (หยี)
                   ๓.๓ นางศิริพร  ตงศิริ (ตุ๊)  ทำงานอยู่ศูนย์วิจัยสัตว์จังหวัดกบิลบุรี
                   ๓.๔ นายชาญศักด์  ตงศิริ (ต๊ะ) ทำงานอยู่บริษัทบางกอกแอร์เวย์ เกาะสมุย


            ๔. นางรัตนา  ตงศิริ แต่งงานกับนายประกอบ  ศิลปสิทธิ์   อยู่จังหวัดหนองคาย
            ๕. นายมานิจ  ตงศิริ (ตงกวงเต้น) อยู่บ้านโนนสะอาด กับตงกวงอิ้ว ครั้งแรกที่ผู้บันทึกไปกราบคารวะท่านยังได้พูดคุยกันอยู่  ไปเยี่ยมเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๑  ท่านเสียชีวิตแล้ว

จากซ้าย วินัย  วินิจ  ชาญยุทธ 
แต่งชุดนักเรียนถ่ายที่ไหหลำ
 หมายเหตุ 

              ตงเค่งเซ็ง ไปอยู่ที่ไหหลำตั้งแต่อายุ ๑๔ ปีอยู่นานจนพูดภาษาไทยติดขัด  ตงกวงอิ้ว (ชาญยุทธ ตงศิริ)   ตงฮีนเหม่ง (วินิจ ตงศิริ)    ตงฮีนเซ็ง (วินัย ตงศิริ)  ทั้งสามคนถูกส่งไปไหหลำ ตอนนั้น  ตงกวงอิ้วอายุ ๘ ขวบ ตงฮีนเหม่ง กับ ตงฮีนเซ็ง อายุ ๑๒ และ ๑๓ ปีตามลำดับ
           ตงเค่งเซ็งทราบข่าวว่ามีญาติมาจากเมืองไทย จึงได้มาพบเพื่อสอบถามข่าวคราวจากทางเมืองไทย  นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งสี่ท่านจึงสนิทสนมกันมากไปไหนไปด้วยกัน และสร้างวีรกรรมไว้มากมายหลากหลายอย่างเป็นที่ประทับใจไม่รู้ลืม เอาไว้ว่าง ๆ จะเล่าให้ฟัง สนุกดีมาก

 กลุ่มที่ ๔ ตงเค่งหล่วน 

               ตงเค่งหล่วน  (ชื่อไทยว่า นายล้วนเค่ง) เป็นกลุ่มที่สี่ที่ได้ตามญาติจากไหหลำมาเมืองไทยอยู่ที่หินดาด อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา  สาเหตุที่หนีจากไหหลำมาเพราะหนีพวก ตั่วเหนี่ยว แปลว่า แมวป่า หมายถึงพวกโจรโพกผ้าเหลือง ซึ่งจะจับคนไปเรียกค่าไถ่  ปล้นฆ่า  

        ตงเค่งล่วนแต่งงานกับนางกิมกุ่ย แซ่อุย คนจังหวัดนครสวรรค์ แต่มาทำงานที่หินดาด    มีบุตรชาย – หญิง ดังนี้

      ๑.เป็นชาย เสียชีวิตแต่เด็ก
      ๒.นายดำริ ตงศิริ (ตงกวงเฮน หรือ ตงกวงเทียน)
      ๓.นางเพลินตา สร้อยสวัสดิ์ อยู่ที่อำเภอภูเวียง
      ๔.นายวิชิต ตงศิริ (เสียชีวิต)
      ๕.นายวัชร์  ตงศิริ  เป็นทนายความอยู่  กทม.                 (ในเฟสบุ๊คใช้ชื่อว่า Vat  Tongsiri)
      ๖.นส.สุนทรี  ตงศิริ อยู่ที่โนนสะอาด  อุดรธานี
      ๗.นส.เสาวณีย์ ตงศิริ อยู่ที่ภูเวียงกับพี่สาว
      ๘.นางสาวพัชรินทร์  ตงศิริ ทำงานอยู่โรงงานเบียร์ช้าง

นางกิมบ่วยกับนายชาญชัย  ตงศิริ (เหียนต๋ง)
ภรรยาและบุตรชายคนโตของ ตงกวงอิ้ว

 
ตงกวงอิ้ว หรือ ชาญยุทธ ในวัยหนุ่ม


บทที่ ๑ เกาะไหหลำ



เกาะไหหลำ

 
           


         มณฑลไหหลำ หรือ ไห่หนาน (ภาษาจีน: 海南, พินอิน: Hǎinán) คือมณฑลของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มีขนาดเล็กที่สุด ตั้งอยู่ทางใต้สุดของประเทศ ประกอบด้วยเกาะหลายเกาะ โดยที่เกาะที่ใหญ่ที่สุดคือเกาะไหหลำ เมื่อชาวจีนพูดเกี่ยวกับ "ไห่หนาน" ในภาษาจีน มักจะหมายถึงเฉพาะเกาะไหหลำ เมื่อพูดถึงมณฑลไหหลำจะใช้คำว่า "ไห่หนานเฉิ่ง" เมืองหลวงคือ เมืองไหโข่ว

                                                                                       
                 แผนที่ เกาะไหหลำ หรือไห่หนาน อยู่ทางตอนใต้สุดของผืนแผ่นดินใหญ่


การแบ่งเขตการปกครอง

           มณฑลไหหลำมีการแบ่งเขตการปกครองต่างจากเขตปกครองอื่นของประเทศจีน นั่นคือเขตกาปกครองระดับอำเภอ   เทศมณฑล และเขตปกครองตนเองนั้นไม่ได้อยู่ในเขตการปกครองระดับเมือง
มณฑลนี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 เมือง หรือจังหวัด (市) 6 เทศมณฑลระดับเมือง 4 เทศมณฑล (縣) 4 เขต (區) และ 6 มณฑลปกครองตนเอง (自治縣)
  • ระดับเมือง:
    • เมืองไหโข่ว (海口市) ซึ่งแบ่งต่อออกไปอีก 4 เขต:
      • เขตหลงหัว (龙华區)
      • เขตซิ่วยิง (秀英區)
      • เขตฉงชาน (琼山區)
      • เขตเหม่ยหลาน (美兰區)
    • เมืองซานย่า (三亞市)
  • ระดับอำเภอ:
    • เทศมณฑลระดับเมือง:
      • เมืองเหวินชาง (文昌市)
      • เมืองฉงไห่ (琼海市)
      • เมืองวั่นหนิง (万宁市)
      • เมืองอู๋จื่อชาน (五指山市)
      • เมืองตงฟาง (東方市)
      • เมืองดานโจว (儋州市)
    • เทศมณฑล:
      • เทศมณฑลหลินเกา (臨高縣)
      • เทศมณฑลเฉิงไม่ (澄邁縣)
      • เทศมณฑลติ้งอัน (定安縣)
      • เทมณฑลถุนชาง (屯昌縣)
    • เขตปกครองตนเอง:
      • เขตปกครองตนเองชนชาติหลี ชางเจียง (昌江黎族自治縣)
      • เขตปกครองตนเองชนชาติหลี ไป๋ชา (白沙黎族自治縣)
      • เขตปกครองตนเองชนชาติหลีและม้ง ฉงจง (琼中黎族苗族自治縣)
      • เขตปกครองตนเองชนชาติหลี หลิงฉุ่ย (陵水黎族自治縣)
      • เขตปกครองตนเองชนชาติหลีและม้ง เป่าถิง (保亭黎族苗族自治縣)
      • เขตปกครองตนเองชนชาติหลี เล่อตง (乐东黎族自治縣)
ชื่อเรียก

ภาษาไทย มณฑลไหหลำ

ภาษาจีน - อักษรจีน 海南省

พินอิน Hǎinán Shěng       อักษรโรมัน Hainan (Hói-nàm)


ข้อมูลทั่วไป

ความหนาแน่น 241 คน/ตร.กม. (อันดับที่ 17)


 กลุ่มชาติพันธุ์ ฮั่น  83 %  หลี - 16 %  ม้ง - 0.8 %  จ้วง - 0.7 % 

เว็บไซต์ http://www.hi.gov.cn/

อ้างอิงจาก
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B3


ความหมายของชื่อ 海 ไห่ - ทะเล      南 หนาน - ใต้  "ทางใต้ของทะเล"

ประเภทเขตปกครอง มณฑล เมืองเอก ไหโข่ว

เลขาธิการพรรค Wei Liucheng

ผู้ว่าการ Luo Baoming

พื้นที่ 33,920 ตร.กม. (อันดับที่ 28)

ประชากร (ข้อมูลปี พ.ศ. 2547) - จำนวน 8,180,000 (อันดับที่ 28)

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ตงซิคี... ผู้สร้างตำนานฝัน

ตงซีคี เป็นคนจีนให่หนำจากหมู่บ้านกะตุ่ยโผซุย แปลว่า หมู่บ้านนกเขาเหิรบิน ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น หมู่บ้านเหวินซิวโผซุย แปลว่า หมู่บ้านนักปราชฌ์  เมืองเหวินชาง เกาะให่หนำ
คุณพ่อชื่อว่า ตงเย็กกี มีพี่น้อง ๓  คน ได้แก่ ตงซิคิว  คนโต  ตงซิคี  คนกลาง และ ตงซิคิ่ว คนสุดท้อง
จากลำดับชั้นยศ ตงซิคี เป็นคนรุ่นที่ จากลำดับตระกูล ๑๐ ลำดับ ได้แก่
๑.บวั้น ๒.โห่ง ๓.เต็ง ๔.เย็ก ๕.ซี ๖.เค่ง ๗.กวง ๘.เหียน (เฮ็น) ๙.เสี่ยน ๑๐.เงี๊ยบ


ตงซีกิวและนางเปะ ศรีนครินทร์ ภรรยา
พี่ชายและพี่สะใภ้ของตงซีคี

ตงซีคี
        เมื่อพี่ชาย ตงซิคิว เข้ามาเมืองไทยและแต่งงานกับนางเปะ ศรีนครินทร์ หญิงชาวนครราชสีมาแล้วได้พากันอพยพครอบครัวมาอยู่ที่สกลนครเพื่อสร้างฐานะในการค้าขายของป่าจนมีกองเกวียนคาราวานขนสินค้าไปขายที่นครราชสีมา  กรุงเทพ เมืองมะละแหม่ง (ไม่แน่ใจว่ามะละแหม่งที่พม่าหรือลาว) ฐานะของครอบครัวท่านคงจะดีขึ้นอย่างมาก

       ตงซีคิวนับว่าเป็นคนจีนใหหนำคนแรกที่มาอยู่ในสกลนคร    คงเป็นด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้  ตงซีคิว และ ตงซีคิ่ว น้องชายทั้งสองจากเมืองกะตุ่ยโพซุย หรือเมืองบุ้นติวโพซุย (เหวินซิวโผซุย) เกาะไหหลำเดินทางมาทำการค้าขายสร้างฐานะของตนเองบ้าง


ตงกวงอิ้ว หรือนายชาญยุทธ ตงศิริ
บ้านโนนสะอาด จังหวัดอุดรธานี 
ผู้ให้ข้อมูลนับถึงปี 2553 นี้ มีอายุย่างเข้า 87 ปี
ท่านเสียชีวิตแล้ว

       จากการสอบถามตงกวงอิ้ว บ้านของ ตงซีคิว  ตงซีคี  ตงซีคิว นั้นอยู่ใกล้กันลักษณะเหมือนบ้านจีนโบราณก่ออิฐหลังคามุงกระเบื้องคาดว่าทั้งสามท่านคงสนิทสนมกันดี  จึงอาจมีการส่งข่าวให้ทราบและชักชวนกันมาเมืองไทย

        คุณอาห่วนน้องสาวของตงเค่งเซ็งเล่าว่า ตงซีคีกับตงซีคิ่วมาจากเกาะใหหนำทางเรือที่ท่าเรือกรุงเทพมหานคร เข้าใจว่าเป็นท่าเรือคลองเตย 

มาพักอยู่ที่โรงแรมเก้าชั้น แถวเยาวราช  คงพักอยู่หลายวันจนได้ทราบข่าวและติดต่อตงซีคิวพี่ชายได้แล้ว ประกอบกับตอนนั้นตงซีคิวนำกองเกวียนคาราวานสินค้าลงไปขายที่กรุงเทพพอดี  ทั้งสองท่านจึงได้เดินสะพายบั้งทิงเดินตามหลังกองเกวียนพี่ชายจากกรุงเทพมหานครมาจังหวัดสกลนคร  นับระยะทางเกือบพันกิโลเมตรและหนทางเป็นป่าเขาในสมัยก่อนแล้ว  นับว่าทั้งสองท่านคงต้องแกร่งและอดทนอย่างมาก ซึ่งเรื่องนี้น่าจะซึมในสายเลือดคนตงแทบจะทุกคนก็เป็นได้   

 
        เมื่อคาราวานกองเกวียนสินค้าของ ตงซีคิว เดินทางมาถึงสกลนคร  ทั้ง ตงซีคีและตงซีคิ่ว ต่างก็ได้อาศัยพักอยู่กับพี่ชายคุ้มสี่แยกศรีนคร หรือธนาคารกรุงไทยเก่า คาดว่าคงทำการทำงานช่วยพี่ชาย  คิดว่าคงอยู่นานมากพอสมควร  

      ช่วงเวลานี้แหละที่  ตงซีคี ได้เกิดต้องตาต้องใจ สาวย้อ ในคุ้มชื่อว่า นางสอน ศิริสานต์ เป็นที่แปลกใจว่า คนหนึ่งภาษาไทยพูดไม่ได้ซักคำ  อีกคนก็ไม่รู้ภาษาจีนใหหนำเลยแล้วทำไมถึงส่งภาษากันรู้เรื่องก็ไม่ทราบ  แต่เรื่องแบบนี้ มองตาก็รู้ใจ หรือจะใช้พ่อสื่อแม่สื่อก็ไม่รู้  ทำให้ทั้งสองปลูกต้นรักได้สำเร็จ และคิดว่า ตงซีคิวคงเป็นเถ้าแก่จัดงานแต่งงานให้น้องชายด้วย

      คิดดูแล้ว ตงซีคิว ช่างมีบุญคุณกับลูกหลานด้วยความจริงใจอย่างที่สุด น่าจะทำอนุสาวรีย์ให้ท่าน ปัจจุบันนี้ ฮวงซุ้ยของท่านอยู่ที่หน้าวัดป่าสุทธาวาส ในเมืองสกลนคร ลูกหลานคนใดที่ไปไหว้พระที่วัดป่าสุทธาวาสก็เข้าไปกราบไหว้ท่านด้วยก็จะเป็นมงคลอย่างมาก

      ในความเป็นจริง ญาติพี่น้องของนางสอนไม่ได้เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ เพราะคงเป็นห่วงที่ต้องมาแต่งงานกับคนจีนต่างด้าวใหหนำที่เพิ่งมาอยู่ใหม่ฐานะไม่มีอะไร  แต่คงด้วยความรักแท้ที่ทั้งสองมีต่อกัน อะไรก็ทัดทานไม่ได้ อาห่วนที่สนิทกับย่าสอนเล่าให้ฟังว่า คุณแม่คือนางสอนขัดใจญาติพี่น้องเรื่องการแต่งงานโมโหถึงขนาดแสดงอาการแบกกะทอเกลือทิ้งโครมครามใครห้ามไม่ฟัง จนสุดท้ายก็ได้แต่งงานกัน

       ตงเค่งเซ็ง ลูกชายของตงซีคี ซึ่งเป็นเดของผู้เขียนและได้เดินทางไปอาศัยอยู่ที่บ้านกะตุยโผ่หลายปีเล่าให้ฟังว่า...     
      

      ตงกวงอิ้ว อยู่บ้านโนนสะอาด อุดรธานี ท่านเคยอยู่ที่บ้านกะตุยโผ่ ใช้ชีวิตร่วมกันกับตงเค่งเซ็งว่า บ้านที่เมืองจีนของตงซีคีนั้นมีขนาดใหญ่ 3 คูณ 4 เมตร ก่ออิฐชั้นเดียวหลังคามุงกระเบื้อง อยู่ใกล้กันกับบ้านของ ตงซีคิว ซึ่งมีบึงน้ำขนาดใหญ่ปูปลาสัตว์น้ำเยอะแยะมากมายมีผู้ชายแก่ๆคนหนึ่งเฝ้าอยู่ แต่ที่บ้านของตงซีคีมีผู้หญิงชราคนหนึ่งอยู่ด้วยและมี ตงกวงกิ้ม ลักษณะพิเศษคือ ตาเข  มีศักดิ์เป็นรุ่นพี่ตงเค่งเซ็งอยู่ด้วยกัน  ตงเค่งเซ็งอาเดของผู้เขียนตอนที่ไปเมืองจีนก็ไปอยู่กับแม่เมืองจีน เง็กลั้งนี้ 

       ตอนผู้เขียนยังเด็กอาห่วนน้องสาวของ ตงเค่งเซ็ง เล่าให้ฟังว่า คุณย่าสอนเห็นตงซีคีได้รับจดหมายแล้วท่านเศร้าโศกเสียใจ คุณย่าสอนถามว่าเป็นอะไรหรือ ท่านบอกว่า ภรรยาที่เมืองจีนเสียแล้ว  แสดงว่าท่านมีภรรยาที่เมืองจีนแล้ว 1 คน และมีลูกที่เกิดกับภรรยาเมืองจีน 3 คน
       คนแรกเป็นผู้หญิงอยู่เมืองจีน
       คนที่สองเป็นผู้ชายชื่อว่า ตงเค่งข่อง  ภายหลังเข้ามาอยู่เมืองไทยที่อำเภอนาแกพร้อมกับตงซีคี
       คนที่สามเป็นชายชื่อว่า    ตงเค่งมุ่ย  เข้ามาอยู่เมืองไทยกับตงซีคีที่อำเภอนาแกแต่งงานกับคุณยายวา คนธาตุพนม (เป็นพี่สาวของป้าซิ้มเอง  พี่ทัดภรรยาอาเจ็กมา และอาเจ้ยังที่อำเภอนาแก )
      นับหลังจากการแต่งงานผ่านไป ชีวิตนักสู้ผู้สร้างตำนานฝันของตงซีคีก็ได้เริ่มต้นขึ้น
       ตงซีคี กับ นางสอน ศิริสานต์ เริ่มสร้างฐานะจากสมอง สองมือและความขยันอดทน

       สำหรับลูกหลาน แซ่ตงทุกคน มีคำพูดเปรียบเปรยอยู่คำหนึ่งที่  ตงเค่งเซ็ง อาเดของผู้เขียนเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ว่า ถ้าหากแต่งงานแล้วไปอยู่บ้านของฝ่ายหญิง จะถือว่าเป็นผู้ชายใช้ไม่ได้ นอกจากจะอึดอัดในการไปอาศัยฝ่ายหญิงแล้ว ยังจะถูกตราหน้าว่า ไร้ความสามารถ เหตุนี้กระมังที่ทำให้ ตงซีคีกับนางสอน ศิริสานต์ ที่แต่งงานกันใหม่ จึงแยกครอบครัว ออกไปสร้างฐานะใหม่ ภาษาไทยใช้คำว่า ออกเรือน แต่ ผู้ไทออกสำเนียงว่า เอาะเฮิน
        การออกเรือนแยกครอบครัวใหม่ของตงซีคี กับ นางสอนไม่ได้อาศัยสร้างฐานะอยู่ในสกลนคร แต่ไปอยู่สร้างฐานะที่อำเภอนาแก ขณะที่ ตงซีคิ่วกลับไปแต่งงานและสร้างฐานะครอบครัวอยู่ที่อำเภอโคกศรีสุพรรณ  ธาตุพนม   เรื่องนี้จากการคาดคะเนดูแล้ว คงเป็นวิสัยทัศน์ของก๋งใหญ่ ตงซีคิว ท่านวางแผนการชีวิตให้น้องชายท่านแน่ ๆ

ตงเค่งเซ็ง

 แม่ราศรี พิละมาตร

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

บทที่ ๔ ตงซีกิว แซ่ตงสายสกลนคร

    แซ่ตงทางเขตอิสานเหนือต้องเริ่มต้นที่สกลนคร
และเป็นบุญของลูกหลานแซ่ตงสายสกลนครและอำเภอนาแกอย่างยิ่ง เมื่อบรรพบุรุษที่มีบารมีมาก ต่อสู้เสียสละยอมอดทนต่อความยากลำบากเพื่อชนรุ่นหลัง เสี่ยงชีวิตไปค้ากำปั้นเอาข้างหน้าอย่างไม่หวาดเกรงอุปสรรคใด ๆ เข้ามาเมืองไทยที่สกลนครเริ่มแรก ท่านผู้นั้นคือ ตงซีกิว  

ตงซีกิวและย่าทวดนางเปะ ศรีนครินทร์
    ข้อมูลจากหนังสือประวัติของก๋งนิล จงเจริญ ลูกชายของตงซีกิว เนื่องในโอกาสครบรอบอายุ   96  ปี  เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2553 รวบรวมประวัติโดยคุณประสาท ตงศิริ ร้านศิริยนต์วัฒนาสกลนคร ว่า 
          ตงซีกิว เกิดที่หมู่บ้านโกตุ่ย หรือกะตุ่ยโพซุย หรือทางราชการเรียกว่า บวั้นติวโพซุย   อำเภอบวั่นเซียวกวย เมืองไหค่าว  มณฑลไหหลำ  ฐานะของทางครอบครัวมีอาชีพทำนาปลูกข้าว ปลุกมันเทศ ปลูกผัก 
          ตงซีกิวเดินทางเข้ามาประเทศไทยเมื่ออายุประมาณ 20 ปี  สาเหตุที่เข้ามาเพราะครอบครัวมีฐานะยากจน  และอาจจะเกิดความแห้งแล้งลำบากของภูมิประเทศ หรือการคอรัปชั่นของราชวงศ์ชิง  การเก็บภาษีเพาะปลูกในที่ดินที่เอาเปรียบ และการเพิ่มขึ้นของพลเมืองในประเทศจีนเอง
        ข้อสันนิฐานนี้มาจากข้อมูลใน  http://1490300694.212cafe.com/archive/2010-02-25/3104  พูดถึงจำนวนประชากรชาวจีนและสาเหตุของการอพยพเข้ามาประเทศไทยว่า  
                โดยเริ่มมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยชาวจีนเริ่มเดินเรือสำเภามาค้าขายในดินแดนสุวรรณภูมิตั้งแต่ก่อนสมัยอาณาจักรสุโขทัย แต่หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือ เมื่อชาวจีนมาสอนการทำเครื่องถ้วยชาม โดยเฉพาะเครื่องสังคโลก
          แต่ชาวจีนมามีบทบาทค่อนข้างช่วง สมัย กรุงธนบุรีเมื่อครั้นเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2310 - พ.ศ. 2312ขุนพลไทยนาม สิน ซึ่งมีบิดาเป็นคนจีน และมารดานาม นกเอี้ยง ซึ่งเป็นชาวสยาม ได้ใช้สถานการณ์ที่ได้เปรียบนี้ทำให้สามารถกอบกู้เอกราชให้สยามได้สำเร็จ ขุนพลท่านนั้นต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แห่งกรุงธนบุรี หรือที่ชาวจีนขนามนามว่า แต้อ๊วง ด้วยความที่ว่าบิดาสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นคนจีน
           เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว ชาวจีนแต้จิ๋วได้เข้ามาทำการค้า และอพยพมายังกรุงธนบุรีเป็นจำนวนมาก ทำให้ประชากรชาวจีนโพ้นทะเลในไทย เพิ่มขึ้นจาก 230,000 คนใน พ.ศ. 2368 เป็น 792,000 คนใน พ.ศ. 2453 และใน พ.ศ. 2475 ประชากรไทยถึง 12.2% เป็นชาวจีนโพ้นทะเล

       การคอรัปชั่น ในรัฐบาลราชวงศ์ชิง และการเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศจีน ประกอบกับการเก็บภาษีที่เอาเปรียบ ทำให้ชายชาวจีนจำนวนมากมุ่งสู่สยามเพื่อหางานและส่งเงินกลับไปให้ครอบครัวในประเทศจีน ขณะนั้นชาวจีนจำนวนมากต้องจำยอมขายที่ดินเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีเพาะปลูกของทางการ
       หากเราเอา พศ.เกิดของก๋งวิสุทธิ์พี่ชายคนโตของก๋งนิล ประมาณปี ในปี พ.ศ.2449 ลบด้วยอายุของ ตงซีกิว ประมาณ 20 ปี จะได้ พ.ศ.2329 ซึ่งน่าจะเป็นปีเกิดท่าน ซึ่งตรงกับช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2310)

       ตงซีกิวทำงานรับจ้างในกรุงเทพระยะหนึ่ง แล้วเดินทางไปรับจ้างเป็นกรรมกรก่อสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ - นครราชสีมา ช่วงจาอำเภอสีคิ้วถึงโคราช  เหตุการณ์ตรงนี้น่าสงสารท่านมาก เพราะท่านถูกโจรชิงทรัพย์ ใช้ไม้ตีศรีษะอย่างแรงบาดเจ็บสาหัส  โชคดีที่มีฝรั่งควบคุมงานก่อสร้างช่วยไว้ได้และพามารักษาตัวที่โรงพยาบาลในเมืองโคราชจนหายเป็นปกติดี  คิดดูแล้วถ้าไม่มีฝรั่งคนนี้ช่วยสงสัยท่านอาจจะเอาชีวิตมาทิ้งตอนนั้นแล้ว
       หลังออกจากโรงพยาบาล ตงซีกิว ได้ไปทำงานเป็นลูกจ้างที่ร้านขายสินค้าเบ็ดเตล็ดของเถ้าแก่ชาวจีนในตัวเมืองโคราช และศึกษาประสบการณ์การค้าขายพร้อมมองหาลู่ทางการค้าของป่าจากพ่อค้าทั่วภาคอีสาน  สินค้าที่ตั้งใจจะจำหน่ายได้แก่ หนังสัตว์และหมากแหน่ง(ผลเร่วใช้ทำยาสมุนไพร)

          ปี พ.ศ.2445 ตงซีกิว ได้อพยพครอบครัวซึ่งมีภรรยา นางเปะ ศรีนครินทร์ สาวชาวโคราช แม่ยาย นางปาน และพี่น้องของนางเปะมาด้วย และกลายเป็นต้นตระกูล "ศรีนครินทร์"ในจังหวัดสกลนครต่อมา 

นางปาน แม่ยาย ตงซีกิว
        อาชีพที่ตงซีกิวทำครั้งแรกคือ เปิดร้านขายสินค้าเบ็ดเตล็ดและรับซื้อของป่า นับเป็นร้านค้าของคนจีนไหหลำยุคแรกในสกลนคร ต่อมาจึงมีชาวจีนมาเริ่มทำการค้าขายในสกลนครเพิ่มขึ้น ได้แก่ เจ็กใบ แซ่เตีย(พ่อของนายเต็ก ตีรสวัสดิชัย) เจ็กฮะเสือ  แซ่เตีย และร้าน แม่นุ่ม ต้นตระกูล วัฒนสุชาติ

นางเปะ ศรีนครินทร์ ภรรยา  ตงซีกิว
ลายมือที่เขียนในรูป  ลงชื่อว่า ทอ  ศรีนครรินทร์ 
(คงหมายถึงก๋งวิสุทธิ์ ตงศิริ ลูกชายคนโต)    

ชีวิตครอบครัว
                 
         ตงซีกิวแต่งงานกับนางเปะ  มีลูก 8 คน ดังนี้
         1.นายวิสุทธิ์  ตงศิริ  (ตงเค่งล้ง)
ครอบครัวก๋งวิสุทธิ์  ตงศิริ
 

ไพเราะ ตงศิริ

 
ประชา - อนงค์ ตงศิริ

ประชิต  ตงศิริ

นิสัย ตงศิริ
  (ที่เหลือนอกจากนี้ ยังไม่มีรูป  ต้องขออภัย...ได้รูปแล้วจะลงให้ครบ)

         2.ด.ช.กะต่า แซ่ตง (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)
         3.นายนิล  จงเจริญ (ตงเค่งพ่ง)


นิล จงเจริญ
          4.น.ส.ข่อง แซ่ตง   (เสียชีวิตที่เมืองจีน)
         5.นางกี  แซ่ตง
         6.นางลาน  แซ่ตง
         7.นายสว่าง  กุลดิลก
         8.นายประยุทธ(ฮวด) ตงศิริ
ประยุทธ (ฮวด) ตงศิริ

    


มีต่อยังไม่จบ


บทที่ ๓ ศักดิ์ตระกูล

ศักดิ์ตระกูล

เปิดตำนานเมื่อวานไกล      จะให้รู้เรื่องหนหลัง
ได้ยินและได้ฟัง        จากปากคำเตี่ยเล่าขาน
แซ่ตงนั้นเป็นใคร              จะสดับเป็นตำนาน
บันทึกนี้จากเหตุการณ์     เหมือนเมื่อวานเพิ่งผ่านไป

        ข้าพเจ้าเองก็ไม่แน่ใจว่าพวกแซ่ตงนี้เป็นพวกเชื้อเจ้าจากเกาะไหหลำหรือเปล่า หรือเป็นประเพณีของคนจีนที่ต้องลำดับชั้นยศหรือรุ่นเหมือนนิยายจีนกำลังภายใน แต่เรื่องที่จะเล่าบัดนี้ไปเป็นบันทึกจากตำนานที่ข้าจดบันทึกไว้จากปากคำของเด ตงเค่งเซ็ง นักสู้ที่เป็นตำนานให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา โปรดทำจิตให้ว่างเพราะต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้รู้เห็นเรื่องนี้จากที่ใดมาก่อนเลย….

        ราวช่วงปิดเทอมใหญ่ เดือน เมษายน พ.ศ.2526 หลังจากเรียนจบ ปวส.แผนกช่างกลโลหะ วิทยาลัยเทคนิคนครพนมแล้ว ได้กลับมาอยู่บ้านที่อำเภอนาแกเพื่อรอเวลาเปิดเทอมใหม่จะได้ไปเรียนที่วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกา วิทยาเขตเทคนิคขอนแก่น เนื่องจากได้รับทุนของกรมอาชีวศึกษามาเรียนประกาศนียบัตรประโยคครูมัธยมช่างอุตสาหกรรม (ปม.อ)ที่จังหวัดขอนแก่น
      
        ช่วงว่างนี้เกิดความสงสัยประวัติความเป็นมาของตระกูล ตงศิริ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร จึงได้ถามอาเด ตงเค่งเซ็ง เรื่องประวัติญาติทางฝ่ายเด ท่านได้เล่าให้ฟังไว้เยอะแยะมากมาย ซึ่งก็ได้จดบันทึกไว้ คิดว่าละเอียดพอสมควรอยู่ จึงได้บันทึกไว้เตือนความจำ แต่อาจเขียนสับสนไปบ้าง เพราะตอนฟังอาจลำดับขั้นไม่ได้ดี
         อาเดตงเค่งเซ็ง เล่าว่า ต้นตระกูลคนแรกสุดที่ตั้งเป็น แซ่ตง นั้นอยู่ที่เกาะไหหลำ จีนแผ่นดินใหญ่ ชื่อ บวั้นเต็งโต่ว (นาย บวั้นเต็ง โต่ว แปลว่า ทวด แปลว่า ทวดบวั้นเต็ง ) อยู่ที่หมู่บ้านตามที่ชาวบ้านเรียกว่า กงูละหุยหรือกะตุ่ยโผซุย หรือ โกตุ่ยโผซุย (กะตุ่ยหรือโกตุ่ย แปลว่า นกเขา โผแปลว่า เนินหรือโคก ซุย แปลว่า หมู่บ้าน  รวมกันว่า หมู่บ้านเนินนกเขา)  ต่อมาเปลี่ยนเป็น  บุ่นสิวโพซุย หรือ บุ่นติวโพซุย ใช้เรียกในภาษาราชการ

           บวั้นเต็งมีลูกอยู่ 4 คน ภาษาจีนไหหนำเรียกว่า ตี๋บ่าง และตี๋บ่างนี้เองเป็นผู้ทำให้เกิดเผ่าพันธ์เพิ่มขึ้นตามลำดับศักดิ์ตระกูล สำนวนไทยว่า ศักดิ์    ตี๋บ่างคนที่ 1,2,3,4 ไม่อาจรู้ชื่อได้ รู้แต่ว่าเชื้อสายของ  แซ่ตงอยู่อำเภอนาแก เป็นลูกของตี๋บ่างคนที่ 4  ที่สืบทอดกันมาตามลำดับ

         ในธรรมเนียมจีนจะถือผู้ชายเป็นใหญ่ ลูกผู้หญิงที่เกิดจะไม่นับเพราะแต่งงานออกไปจากครอบครัวเดิมแล้ว ดังนั้นรุ่นหรือลำดับโคตรต่อไปนี้จึงเป็นเฉพาะของผู้ชายเท่านั้น แต่หญิงก็เป็นรุ่นได้เหมือนกัน

ลำดับชั้นศักดิ์ตระกูล
          จากคำบอกเล่าของ ตงเค่งเซ็ง และที่ตรวจสอบกับเอกสารคำบอกเล่าของ ตงกวงมุ่ย และจากการสอบถามกับ ตงกวงอิ้ว ทั้ง 3 ท่านสรุปตรงกันว่ามี 10 ชั้น ดังนี้

1.บวั้น 
2.โห่ง
3.เต็ง
4.เย็ก
5.สิ หรือ ซี
6.เค่ง
7.กวง
8.หีน หรือ ฮีน
9.เสี่ยน
10.เงี๊ยบ
                                                        
    หมายเหตุ 
         เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม  ๒๕๕๕ ถึง วันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๕  ได้มีโอกาสไปที่หมู่บ้าน  แซ่ตง คือ หมู่บ้านบุ่นสิวโพซุย เกาะใหหนำ ได้สอบถามญาติแซ่ตง ท่านหนึ่งซึ่งเก็บหลักฐานเอกสารลำดับศักดิ์ตระกูลไว้ จาก อาเดของท่าน   ชื่อว่า  ตงกวงซ่าน ท่านได้ลำดับศักดิ์ไว้เหมือนกันกับที่ข้างบน  (ตงเป็นแซ่ กวง เป็นศักดิ์หมายถึงแสงสว่าง เจิดจ้า ซ่านเป็นชื่อ  มีศักดิ์เท่ากับผู้เขียน แต่อายุท่านประมาณ ๖๘ ปี)
        ส่วนคำถามที่ว่าจะมีศักดิ์ชั้นที่ ๑๑ เมื่อไหร่นั้น  ท่านบอกว่า  ต้องรอให้มีจำนวนของลูกหลานมากขึ้นก่อน  และต้องรอให้นักปราชณ์ที่มีความรู้ทางภาษาดี มาตั้งให้เพื่อความเป็นสิริมงคล
    สำหรับเรื่องศักดิ์ตระกูลนี้  ท่านอารีย์ ภู่สมบุญ  ซึ่งเป็นประธานกิตติมศักดิ์ถาวรตระกูลฝู่ใหหนำสากล  อุปนายกสมาคมใหหนำแห่งประเทศไทย ซึ่งเมตตาพาคณะผู้เขียนไปหาญาติที่หมู่บ้านบุ่นสิวโพสุย บ้านแซ่ตง ที่ใหหนำ ท่านได้ให้ความเห็นว่า  ศักดิ์ของตระกูลนี้  จะตั้งเป็นอักษรจีนเป็นชุดๆ ละ  ๕  คำ  เมื่อจะตั้งเพิ่มเติมก็ตั้งครั้งละ  ๕  คำเหมือนกัน และต้องให้นักปราชณ์ที่รู้ภาษามาตั้งให้ และยังเกี่ยวเนื่องกับกฎหมายราชการด้วย                                                              

การเรียกชื่อและความหมาย

            การเรียกชื่อในภาษาจีนนั้นเป็นเสน่ห์มาก เพราะบอกแซ่ ชั้นยศ และชื่อ ไว้ในคราวเดียวกัน     ขอยกตัวอย่างประกอบดังนี้
                 
          ตงบวั้นเต็ง หมายถึง แซ่ตง ชั้นยศ บวั้น ชื่อเต็ง
ก๋งทวดท่านนี้เป็นต้นตระกูลแซ่ตงอยู่ที่เกาะไหหนำ หรือ ไห่หนาน

                  ตงสิกิ่ว หมายถึง แซ่ตง  ชั้นยศ สิ (ซี)    ชื่อ   กิ่ว
            ตงสิคี  หมายถึง  แซ่ตง  ชั้นยศ สิ (ซี)    ชื่อ   คี
            ตงสิคิ่ว หมายถึง แซ่ตง  ชั้นยศ สิ (ซี)    ชื่อ   คิ่ว

            ตงเค่งคัง หมายถึง แซ่ตง ชั้นยศ  เค่ง   ชื่อ    คัง
            ตงเค่งผวน หมายถึง แซ่ตง ชั้นยศ เค่งชื่อ    ผวน
            ตงเค่งเซ็ง หมายถึง แซ่ตง  ชั้นยศ เค่ง ชื่อ  เซ็ง

            ตงกวงมุ่ย หมายถึง แซ่ตง  ชั้นยศ กวง  ชื่อ  มุ่ย
            ตงกวงอิ้ว  หมายถึง แซ่ตง  ชั้นยศ กวง  ชื่อ  อิ้ว
            ตงกวงตุ่ย  หมายถึง แซ่ตง  ชั้นยศ กวง  ชื่อ  ตุ่ย

ความสำคัญของศักดิ์ตระกูล
               ชั้นยศมีความสำคัญมาก นอกจากจะใช้บอกลำดับความเป็นมาและศักดิ์ฐานะของตนเองแล้ว ยังหมายถึง ความกตัญญูและการลดอัตตาตัวตนลงไปด้วย ซึ่งขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมจีนนั้น จะถืออาวุโส  ความกตัญญูและบรรพบุรุษอย่างยิ่ง  หากใครทำไม่ดีเสียหายต่อวงศ์ตระกูลแล้วจะเกิดความอับอายขายหน้าอย่างยิ่ง และ เรื่องนี้ขอยกตัวอย่างเท่าที่ได้ยินและได้พบเจอด้วยตนเองมาดังนี้
           1. อาเด  ตงเค่งเซ็ง  เล่าว่า ที่หมู่บ้านบวั่นติวโพ  ตอนนั้น หรือ บุ่นสิวโพสุย ในปัจจุบัน  ตงเค่งเซ็ง ได้ไปอยู่ที่นี่หลายปีแล้ว มีคนแก่อายุมาก ผมหงอกเต็มหัวแต่มีศักดิ์ต่ำกว่า ได้พูดจามีกิริยาไม่แสดงความเคารพต่อเด็กน้อยอายุ 1-2ขวบ แต่มีชั้นยศสูง กว่า  ผู้เฒ่าผู้แก่อาสุโสประจำหมู่บ้านได้เรียกคนแก่คนนั้นไปตักเตือนว่ากล่าว
           2.เมื่อคราวที่นายประสิทธิ์ ตงศิริ ลูกชายของ ตงกวงเต็ง  เสียชีวิตที่จังหวัดขอนแก่น  ได้จัดงานศพที่วัดป่าหน้ามหาวิทยาลัยขอนแก่น    ตอนนั้นน่าจะราวปี 2525 -2526 ผมได้มีโอกาสไปร่วมงานศพแทนเด  ตงเค่งเซ็ง หลังจากงานเสร็จได้พากันไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารกลางบึงแก่นนคร  ผมได้นั่งที่ท้ายโต๊ะอาหารซึ่งมีการรวมญาติประมาณ 30 ท่าน รู้จักกันบ้างไม่รู้จักบ้าง มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งอายุตอนนั้นน่าจะมากกว่า 60 ปี ได้มายืนข้างหลังจับไหล่กระผมทั้งสองข้าง แล้วประกาศให้ทั้งโต๊ะทราบว่า คนนี้เป็นน้องชาย ชื่อ วรวิทย์ เป็นญาติทางฝ่ายพ่อ มาจากอำเภอนาแก 
             ตอนนั้นผมรู้สึกแปลกใจมากว่า   ท่านทำไมเรียกผมว่าเป็นน้องชายทั้งที่ ลูกชายลูกสาวของท่านก็มีอายุมากกว่าผมตั้งหลายคน มาทราบความจริงทีหลังจากปากของ ตงเค่งเซ็ง  ว่า ท่านผู้นั้นมีชื่อว่า วินิจ  และคุ้นเคยกับเดผมอย่างมาก เพราะได้ไปทำวีรกรรมที่หมู่บ้านบวั้นติวโพด้วยกัน จึงสนิทสนมกันมาก(จะเล่าให้ฟังตอนหลัง) และให้ความสำคัญกับลำดับชั้นศักดิ์ยศเหมือนธรรมเนียมจีนใหหนำอย่างเคร่งครัด  ซึ่งสมควรนำไปเป็นแบบอย่างที่ดีต่อไป
 
ตงกวงอิ้ว หรือนายชาญยุทธ ตงศิริ
บ้านโนนสะอาด จังหวัดอุดรธานี 
ผู้ให้ข้อมูลนับถึงปี 2553 นี้ มีอายุย่างเข้า 87 ปี