แซ่ตงทางเขตอิสานเหนือต้องเริ่มต้นที่สกลนคร
และเป็นบุญของลูกหลานแซ่ตงสายสกลนครและอำเภอนาแกอย่างยิ่ง เมื่อบรรพบุรุษที่มีบารมีมาก ต่อสู้เสียสละยอมอดทนต่อความยากลำบากเพื่อชนรุ่นหลัง เสี่ยงชีวิตไปค้ากำปั้นเอาข้างหน้าอย่างไม่หวาดเกรงอุปสรรคใด ๆ เข้ามาเมืองไทยที่สกลนครเริ่มแรก ท่านผู้นั้นคือ ตงซีกิว
ตงซีกิวและย่าทวดนางเปะ ศรีนครินทร์ |
ตงซีกิว เกิดที่หมู่บ้านโกตุ่ย หรือกะตุ่ยโพซุย หรือทางราชการเรียกว่า บวั้นติวโพซุย อำเภอบวั่นเซียวกวย เมืองไหค่าว มณฑลไหหลำ ฐานะของทางครอบครัวมีอาชีพทำนาปลูกข้าว ปลุกมันเทศ ปลูกผัก
ตงซีกิวเดินทางเข้ามาประเทศไทยเมื่ออายุประมาณ 20 ปี สาเหตุที่เข้ามาเพราะครอบครัวมีฐานะยากจน และอาจจะเกิดความแห้งแล้งลำบากของภูมิประเทศ หรือการคอรัปชั่นของราชวงศ์ชิง การเก็บภาษีเพาะปลูกในที่ดินที่เอาเปรียบ และการเพิ่มขึ้นของพลเมืองในประเทศจีนเอง
ข้อสันนิฐานนี้มาจากข้อมูลใน http://1490300694.212cafe.com/archive/2010-02-25/3104 พูดถึงจำนวนประชากรชาวจีนและสาเหตุของการอพยพเข้ามาประเทศไทยว่า
โดยเริ่มมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยชาวจีนเริ่มเดินเรือสำเภามาค้าขายในดินแดนสุวรรณภูมิตั้งแต่ก่อนสมัยอาณาจักรสุโขทัย แต่หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือ เมื่อชาวจีนมาสอนการทำเครื่องถ้วยชาม โดยเฉพาะเครื่องสังคโลก
แต่ชาวจีนมามีบทบาทค่อนข้างช่วง สมัย กรุงธนบุรีเมื่อครั้นเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2310 - พ.ศ. 2312ขุนพลไทยนาม สิน ซึ่งมีบิดาเป็นคนจีน และมารดานาม นกเอี้ยง ซึ่งเป็นชาวสยาม ได้ใช้สถานการณ์ที่ได้เปรียบนี้ทำให้สามารถกอบกู้เอกราชให้สยามได้สำเร็จ ขุนพลท่านนั้นต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แห่งกรุงธนบุรี หรือที่ชาวจีนขนามนามว่า แต้อ๊วง ด้วยความที่ว่าบิดาสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นคนจีน
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว ชาวจีนแต้จิ๋วได้เข้ามาทำการค้า และอพยพมายังกรุงธนบุรีเป็นจำนวนมาก ทำให้ประชากรชาวจีนโพ้นทะเลในไทย เพิ่มขึ้นจาก 230,000 คนใน พ.ศ. 2368 เป็น 792,000 คนใน พ.ศ. 2453 และใน พ.ศ. 2475 ประชากรไทยถึง 12.2% เป็นชาวจีนโพ้นทะเล
การคอรัปชั่น ในรัฐบาลราชวงศ์ชิง และการเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศจีน ประกอบกับการเก็บภาษีที่เอาเปรียบ ทำให้ชายชาวจีนจำนวนมากมุ่งสู่สยามเพื่อหางานและส่งเงินกลับไปให้ครอบครัวในประเทศจีน ขณะนั้นชาวจีนจำนวนมากต้องจำยอมขายที่ดินเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีเพาะปลูกของทางการ
หากเราเอา พศ.เกิดของก๋งวิสุทธิ์พี่ชายคนโตของก๋งนิล ประมาณปี ในปี พ.ศ.2449 ลบด้วยอายุของ ตงซีกิว ประมาณ 20 ปี จะได้ พ.ศ.2329 ซึ่งน่าจะเป็นปีเกิดท่าน ซึ่งตรงกับช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2310)
ตงซีกิวทำงานรับจ้างในกรุงเทพระยะหนึ่ง แล้วเดินทางไปรับจ้างเป็นกรรมกรก่อสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ - นครราชสีมา ช่วงจาอำเภอสีคิ้วถึงโคราช เหตุการณ์ตรงนี้น่าสงสารท่านมาก เพราะท่านถูกโจรชิงทรัพย์ ใช้ไม้ตีศรีษะอย่างแรงบาดเจ็บสาหัส โชคดีที่มีฝรั่งควบคุมงานก่อสร้างช่วยไว้ได้และพามารักษาตัวที่โรงพยาบาลในเมืองโคราชจนหายเป็นปกติดี คิดดูแล้วถ้าไม่มีฝรั่งคนนี้ช่วยสงสัยท่านอาจจะเอาชีวิตมาทิ้งตอนนั้นแล้ว
หลังออกจากโรงพยาบาล ตงซีกิว ได้ไปทำงานเป็นลูกจ้างที่ร้านขายสินค้าเบ็ดเตล็ดของเถ้าแก่ชาวจีนในตัวเมืองโคราช และศึกษาประสบการณ์การค้าขายพร้อมมองหาลู่ทางการค้าของป่าจากพ่อค้าทั่วภาคอีสาน สินค้าที่ตั้งใจจะจำหน่ายได้แก่ หนังสัตว์และหมากแหน่ง(ผลเร่วใช้ทำยาสมุนไพร)
ปี พ.ศ.2445 ตงซีกิว ได้อพยพครอบครัวซึ่งมีภรรยา นางเปะ ศรีนครินทร์ สาวชาวโคราช แม่ยาย นางปาน และพี่น้องของนางเปะมาด้วย และกลายเป็นต้นตระกูล "ศรีนครินทร์"ในจังหวัดสกลนครต่อมา
นางปาน แม่ยาย ตงซีกิว |
นางเปะ ศรีนครินทร์ ภรรยา ตงซีกิว |
ลายมือที่เขียนในรูป ลงชื่อว่า ทอ ศรีนครรินทร์
(คงหมายถึงก๋งวิสุทธิ์ ตงศิริ ลูกชายคนโต)
ชีวิตครอบครัว
ตงซีกิวแต่งงานกับนางเปะ มีลูก 8 คน ดังนี้
1.นายวิสุทธิ์ ตงศิริ (ตงเค่งล้ง)
ครอบครัวก๋งวิสุทธิ์ ตงศิริ |
ประชิต ตงศิริ |
นิสัย ตงศิริ |
(ที่เหลือนอกจากนี้ ยังไม่มีรูป ต้องขออภัย...ได้รูปแล้วจะลงให้ครบ)
2.ด.ช.กะต่า แซ่ตง (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)
5.นางกี แซ่ตง
6.นางลาน แซ่ตง
7.นายสว่าง กุลดิลก
8.นายประยุทธ(ฮวด) ตงศิริ
ประยุทธ (ฮวด) ตงศิริ |
หลับให้สบายนะ
ตอบลบขอให้มีความสุข สบายใจกาย ตลอดไปจนกว่าจะเข้าพระนิพพาน เช่นกันครับ
ลบคิดถึงเสมอครับ