วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ตงซิคี... ผู้สร้างตำนานฝัน

ตงซีคี เป็นคนจีนให่หนำจากหมู่บ้านกะตุ่ยโผซุย แปลว่า หมู่บ้านนกเขาเหิรบิน ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น หมู่บ้านเหวินซิวโผซุย แปลว่า หมู่บ้านนักปราชฌ์  เมืองเหวินชาง เกาะให่หนำ
คุณพ่อชื่อว่า ตงเย็กกี มีพี่น้อง ๓  คน ได้แก่ ตงซิคิว  คนโต  ตงซิคี  คนกลาง และ ตงซิคิ่ว คนสุดท้อง
จากลำดับชั้นยศ ตงซิคี เป็นคนรุ่นที่ จากลำดับตระกูล ๑๐ ลำดับ ได้แก่
๑.บวั้น ๒.โห่ง ๓.เต็ง ๔.เย็ก ๕.ซี ๖.เค่ง ๗.กวง ๘.เหียน (เฮ็น) ๙.เสี่ยน ๑๐.เงี๊ยบ


ตงซีกิวและนางเปะ ศรีนครินทร์ ภรรยา
พี่ชายและพี่สะใภ้ของตงซีคี

ตงซีคี
        เมื่อพี่ชาย ตงซิคิว เข้ามาเมืองไทยและแต่งงานกับนางเปะ ศรีนครินทร์ หญิงชาวนครราชสีมาแล้วได้พากันอพยพครอบครัวมาอยู่ที่สกลนครเพื่อสร้างฐานะในการค้าขายของป่าจนมีกองเกวียนคาราวานขนสินค้าไปขายที่นครราชสีมา  กรุงเทพ เมืองมะละแหม่ง (ไม่แน่ใจว่ามะละแหม่งที่พม่าหรือลาว) ฐานะของครอบครัวท่านคงจะดีขึ้นอย่างมาก

       ตงซีคิวนับว่าเป็นคนจีนใหหนำคนแรกที่มาอยู่ในสกลนคร    คงเป็นด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้  ตงซีคิว และ ตงซีคิ่ว น้องชายทั้งสองจากเมืองกะตุ่ยโพซุย หรือเมืองบุ้นติวโพซุย (เหวินซิวโผซุย) เกาะไหหลำเดินทางมาทำการค้าขายสร้างฐานะของตนเองบ้าง


ตงกวงอิ้ว หรือนายชาญยุทธ ตงศิริ
บ้านโนนสะอาด จังหวัดอุดรธานี 
ผู้ให้ข้อมูลนับถึงปี 2553 นี้ มีอายุย่างเข้า 87 ปี
ท่านเสียชีวิตแล้ว

       จากการสอบถามตงกวงอิ้ว บ้านของ ตงซีคิว  ตงซีคี  ตงซีคิว นั้นอยู่ใกล้กันลักษณะเหมือนบ้านจีนโบราณก่ออิฐหลังคามุงกระเบื้องคาดว่าทั้งสามท่านคงสนิทสนมกันดี  จึงอาจมีการส่งข่าวให้ทราบและชักชวนกันมาเมืองไทย

        คุณอาห่วนน้องสาวของตงเค่งเซ็งเล่าว่า ตงซีคีกับตงซีคิ่วมาจากเกาะใหหนำทางเรือที่ท่าเรือกรุงเทพมหานคร เข้าใจว่าเป็นท่าเรือคลองเตย 

มาพักอยู่ที่โรงแรมเก้าชั้น แถวเยาวราช  คงพักอยู่หลายวันจนได้ทราบข่าวและติดต่อตงซีคิวพี่ชายได้แล้ว ประกอบกับตอนนั้นตงซีคิวนำกองเกวียนคาราวานสินค้าลงไปขายที่กรุงเทพพอดี  ทั้งสองท่านจึงได้เดินสะพายบั้งทิงเดินตามหลังกองเกวียนพี่ชายจากกรุงเทพมหานครมาจังหวัดสกลนคร  นับระยะทางเกือบพันกิโลเมตรและหนทางเป็นป่าเขาในสมัยก่อนแล้ว  นับว่าทั้งสองท่านคงต้องแกร่งและอดทนอย่างมาก ซึ่งเรื่องนี้น่าจะซึมในสายเลือดคนตงแทบจะทุกคนก็เป็นได้   

 
        เมื่อคาราวานกองเกวียนสินค้าของ ตงซีคิว เดินทางมาถึงสกลนคร  ทั้ง ตงซีคีและตงซีคิ่ว ต่างก็ได้อาศัยพักอยู่กับพี่ชายคุ้มสี่แยกศรีนคร หรือธนาคารกรุงไทยเก่า คาดว่าคงทำการทำงานช่วยพี่ชาย  คิดว่าคงอยู่นานมากพอสมควร  

      ช่วงเวลานี้แหละที่  ตงซีคี ได้เกิดต้องตาต้องใจ สาวย้อ ในคุ้มชื่อว่า นางสอน ศิริสานต์ เป็นที่แปลกใจว่า คนหนึ่งภาษาไทยพูดไม่ได้ซักคำ  อีกคนก็ไม่รู้ภาษาจีนใหหนำเลยแล้วทำไมถึงส่งภาษากันรู้เรื่องก็ไม่ทราบ  แต่เรื่องแบบนี้ มองตาก็รู้ใจ หรือจะใช้พ่อสื่อแม่สื่อก็ไม่รู้  ทำให้ทั้งสองปลูกต้นรักได้สำเร็จ และคิดว่า ตงซีคิวคงเป็นเถ้าแก่จัดงานแต่งงานให้น้องชายด้วย

      คิดดูแล้ว ตงซีคิว ช่างมีบุญคุณกับลูกหลานด้วยความจริงใจอย่างที่สุด น่าจะทำอนุสาวรีย์ให้ท่าน ปัจจุบันนี้ ฮวงซุ้ยของท่านอยู่ที่หน้าวัดป่าสุทธาวาส ในเมืองสกลนคร ลูกหลานคนใดที่ไปไหว้พระที่วัดป่าสุทธาวาสก็เข้าไปกราบไหว้ท่านด้วยก็จะเป็นมงคลอย่างมาก

      ในความเป็นจริง ญาติพี่น้องของนางสอนไม่ได้เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ เพราะคงเป็นห่วงที่ต้องมาแต่งงานกับคนจีนต่างด้าวใหหนำที่เพิ่งมาอยู่ใหม่ฐานะไม่มีอะไร  แต่คงด้วยความรักแท้ที่ทั้งสองมีต่อกัน อะไรก็ทัดทานไม่ได้ อาห่วนที่สนิทกับย่าสอนเล่าให้ฟังว่า คุณแม่คือนางสอนขัดใจญาติพี่น้องเรื่องการแต่งงานโมโหถึงขนาดแสดงอาการแบกกะทอเกลือทิ้งโครมครามใครห้ามไม่ฟัง จนสุดท้ายก็ได้แต่งงานกัน

       ตงเค่งเซ็ง ลูกชายของตงซีคี ซึ่งเป็นเดของผู้เขียนและได้เดินทางไปอาศัยอยู่ที่บ้านกะตุยโผ่หลายปีเล่าให้ฟังว่า...     
      

      ตงกวงอิ้ว อยู่บ้านโนนสะอาด อุดรธานี ท่านเคยอยู่ที่บ้านกะตุยโผ่ ใช้ชีวิตร่วมกันกับตงเค่งเซ็งว่า บ้านที่เมืองจีนของตงซีคีนั้นมีขนาดใหญ่ 3 คูณ 4 เมตร ก่ออิฐชั้นเดียวหลังคามุงกระเบื้อง อยู่ใกล้กันกับบ้านของ ตงซีคิว ซึ่งมีบึงน้ำขนาดใหญ่ปูปลาสัตว์น้ำเยอะแยะมากมายมีผู้ชายแก่ๆคนหนึ่งเฝ้าอยู่ แต่ที่บ้านของตงซีคีมีผู้หญิงชราคนหนึ่งอยู่ด้วยและมี ตงกวงกิ้ม ลักษณะพิเศษคือ ตาเข  มีศักดิ์เป็นรุ่นพี่ตงเค่งเซ็งอยู่ด้วยกัน  ตงเค่งเซ็งอาเดของผู้เขียนตอนที่ไปเมืองจีนก็ไปอยู่กับแม่เมืองจีน เง็กลั้งนี้ 

       ตอนผู้เขียนยังเด็กอาห่วนน้องสาวของ ตงเค่งเซ็ง เล่าให้ฟังว่า คุณย่าสอนเห็นตงซีคีได้รับจดหมายแล้วท่านเศร้าโศกเสียใจ คุณย่าสอนถามว่าเป็นอะไรหรือ ท่านบอกว่า ภรรยาที่เมืองจีนเสียแล้ว  แสดงว่าท่านมีภรรยาที่เมืองจีนแล้ว 1 คน และมีลูกที่เกิดกับภรรยาเมืองจีน 3 คน
       คนแรกเป็นผู้หญิงอยู่เมืองจีน
       คนที่สองเป็นผู้ชายชื่อว่า ตงเค่งข่อง  ภายหลังเข้ามาอยู่เมืองไทยที่อำเภอนาแกพร้อมกับตงซีคี
       คนที่สามเป็นชายชื่อว่า    ตงเค่งมุ่ย  เข้ามาอยู่เมืองไทยกับตงซีคีที่อำเภอนาแกแต่งงานกับคุณยายวา คนธาตุพนม (เป็นพี่สาวของป้าซิ้มเอง  พี่ทัดภรรยาอาเจ็กมา และอาเจ้ยังที่อำเภอนาแก )
      นับหลังจากการแต่งงานผ่านไป ชีวิตนักสู้ผู้สร้างตำนานฝันของตงซีคีก็ได้เริ่มต้นขึ้น
       ตงซีคี กับ นางสอน ศิริสานต์ เริ่มสร้างฐานะจากสมอง สองมือและความขยันอดทน

       สำหรับลูกหลาน แซ่ตงทุกคน มีคำพูดเปรียบเปรยอยู่คำหนึ่งที่  ตงเค่งเซ็ง อาเดของผู้เขียนเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ว่า ถ้าหากแต่งงานแล้วไปอยู่บ้านของฝ่ายหญิง จะถือว่าเป็นผู้ชายใช้ไม่ได้ นอกจากจะอึดอัดในการไปอาศัยฝ่ายหญิงแล้ว ยังจะถูกตราหน้าว่า ไร้ความสามารถ เหตุนี้กระมังที่ทำให้ ตงซีคีกับนางสอน ศิริสานต์ ที่แต่งงานกันใหม่ จึงแยกครอบครัว ออกไปสร้างฐานะใหม่ ภาษาไทยใช้คำว่า ออกเรือน แต่ ผู้ไทออกสำเนียงว่า เอาะเฮิน
        การออกเรือนแยกครอบครัวใหม่ของตงซีคี กับ นางสอนไม่ได้อาศัยสร้างฐานะอยู่ในสกลนคร แต่ไปอยู่สร้างฐานะที่อำเภอนาแก ขณะที่ ตงซีคิ่วกลับไปแต่งงานและสร้างฐานะครอบครัวอยู่ที่อำเภอโคกศรีสุพรรณ  ธาตุพนม   เรื่องนี้จากการคาดคะเนดูแล้ว คงเป็นวิสัยทัศน์ของก๋งใหญ่ ตงซีคิว ท่านวางแผนการชีวิตให้น้องชายท่านแน่ ๆ

ตงเค่งเซ็ง

 แม่ราศรี พิละมาตร

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

บทที่ ๔ ตงซีกิว แซ่ตงสายสกลนคร

    แซ่ตงทางเขตอิสานเหนือต้องเริ่มต้นที่สกลนคร
และเป็นบุญของลูกหลานแซ่ตงสายสกลนครและอำเภอนาแกอย่างยิ่ง เมื่อบรรพบุรุษที่มีบารมีมาก ต่อสู้เสียสละยอมอดทนต่อความยากลำบากเพื่อชนรุ่นหลัง เสี่ยงชีวิตไปค้ากำปั้นเอาข้างหน้าอย่างไม่หวาดเกรงอุปสรรคใด ๆ เข้ามาเมืองไทยที่สกลนครเริ่มแรก ท่านผู้นั้นคือ ตงซีกิว  

ตงซีกิวและย่าทวดนางเปะ ศรีนครินทร์
    ข้อมูลจากหนังสือประวัติของก๋งนิล จงเจริญ ลูกชายของตงซีกิว เนื่องในโอกาสครบรอบอายุ   96  ปี  เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2553 รวบรวมประวัติโดยคุณประสาท ตงศิริ ร้านศิริยนต์วัฒนาสกลนคร ว่า 
          ตงซีกิว เกิดที่หมู่บ้านโกตุ่ย หรือกะตุ่ยโพซุย หรือทางราชการเรียกว่า บวั้นติวโพซุย   อำเภอบวั่นเซียวกวย เมืองไหค่าว  มณฑลไหหลำ  ฐานะของทางครอบครัวมีอาชีพทำนาปลูกข้าว ปลุกมันเทศ ปลูกผัก 
          ตงซีกิวเดินทางเข้ามาประเทศไทยเมื่ออายุประมาณ 20 ปี  สาเหตุที่เข้ามาเพราะครอบครัวมีฐานะยากจน  และอาจจะเกิดความแห้งแล้งลำบากของภูมิประเทศ หรือการคอรัปชั่นของราชวงศ์ชิง  การเก็บภาษีเพาะปลูกในที่ดินที่เอาเปรียบ และการเพิ่มขึ้นของพลเมืองในประเทศจีนเอง
        ข้อสันนิฐานนี้มาจากข้อมูลใน  http://1490300694.212cafe.com/archive/2010-02-25/3104  พูดถึงจำนวนประชากรชาวจีนและสาเหตุของการอพยพเข้ามาประเทศไทยว่า  
                โดยเริ่มมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยชาวจีนเริ่มเดินเรือสำเภามาค้าขายในดินแดนสุวรรณภูมิตั้งแต่ก่อนสมัยอาณาจักรสุโขทัย แต่หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือ เมื่อชาวจีนมาสอนการทำเครื่องถ้วยชาม โดยเฉพาะเครื่องสังคโลก
          แต่ชาวจีนมามีบทบาทค่อนข้างช่วง สมัย กรุงธนบุรีเมื่อครั้นเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2310 - พ.ศ. 2312ขุนพลไทยนาม สิน ซึ่งมีบิดาเป็นคนจีน และมารดานาม นกเอี้ยง ซึ่งเป็นชาวสยาม ได้ใช้สถานการณ์ที่ได้เปรียบนี้ทำให้สามารถกอบกู้เอกราชให้สยามได้สำเร็จ ขุนพลท่านนั้นต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แห่งกรุงธนบุรี หรือที่ชาวจีนขนามนามว่า แต้อ๊วง ด้วยความที่ว่าบิดาสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นคนจีน
           เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว ชาวจีนแต้จิ๋วได้เข้ามาทำการค้า และอพยพมายังกรุงธนบุรีเป็นจำนวนมาก ทำให้ประชากรชาวจีนโพ้นทะเลในไทย เพิ่มขึ้นจาก 230,000 คนใน พ.ศ. 2368 เป็น 792,000 คนใน พ.ศ. 2453 และใน พ.ศ. 2475 ประชากรไทยถึง 12.2% เป็นชาวจีนโพ้นทะเล

       การคอรัปชั่น ในรัฐบาลราชวงศ์ชิง และการเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศจีน ประกอบกับการเก็บภาษีที่เอาเปรียบ ทำให้ชายชาวจีนจำนวนมากมุ่งสู่สยามเพื่อหางานและส่งเงินกลับไปให้ครอบครัวในประเทศจีน ขณะนั้นชาวจีนจำนวนมากต้องจำยอมขายที่ดินเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีเพาะปลูกของทางการ
       หากเราเอา พศ.เกิดของก๋งวิสุทธิ์พี่ชายคนโตของก๋งนิล ประมาณปี ในปี พ.ศ.2449 ลบด้วยอายุของ ตงซีกิว ประมาณ 20 ปี จะได้ พ.ศ.2329 ซึ่งน่าจะเป็นปีเกิดท่าน ซึ่งตรงกับช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2310)

       ตงซีกิวทำงานรับจ้างในกรุงเทพระยะหนึ่ง แล้วเดินทางไปรับจ้างเป็นกรรมกรก่อสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ - นครราชสีมา ช่วงจาอำเภอสีคิ้วถึงโคราช  เหตุการณ์ตรงนี้น่าสงสารท่านมาก เพราะท่านถูกโจรชิงทรัพย์ ใช้ไม้ตีศรีษะอย่างแรงบาดเจ็บสาหัส  โชคดีที่มีฝรั่งควบคุมงานก่อสร้างช่วยไว้ได้และพามารักษาตัวที่โรงพยาบาลในเมืองโคราชจนหายเป็นปกติดี  คิดดูแล้วถ้าไม่มีฝรั่งคนนี้ช่วยสงสัยท่านอาจจะเอาชีวิตมาทิ้งตอนนั้นแล้ว
       หลังออกจากโรงพยาบาล ตงซีกิว ได้ไปทำงานเป็นลูกจ้างที่ร้านขายสินค้าเบ็ดเตล็ดของเถ้าแก่ชาวจีนในตัวเมืองโคราช และศึกษาประสบการณ์การค้าขายพร้อมมองหาลู่ทางการค้าของป่าจากพ่อค้าทั่วภาคอีสาน  สินค้าที่ตั้งใจจะจำหน่ายได้แก่ หนังสัตว์และหมากแหน่ง(ผลเร่วใช้ทำยาสมุนไพร)

          ปี พ.ศ.2445 ตงซีกิว ได้อพยพครอบครัวซึ่งมีภรรยา นางเปะ ศรีนครินทร์ สาวชาวโคราช แม่ยาย นางปาน และพี่น้องของนางเปะมาด้วย และกลายเป็นต้นตระกูล "ศรีนครินทร์"ในจังหวัดสกลนครต่อมา 

นางปาน แม่ยาย ตงซีกิว
        อาชีพที่ตงซีกิวทำครั้งแรกคือ เปิดร้านขายสินค้าเบ็ดเตล็ดและรับซื้อของป่า นับเป็นร้านค้าของคนจีนไหหลำยุคแรกในสกลนคร ต่อมาจึงมีชาวจีนมาเริ่มทำการค้าขายในสกลนครเพิ่มขึ้น ได้แก่ เจ็กใบ แซ่เตีย(พ่อของนายเต็ก ตีรสวัสดิชัย) เจ็กฮะเสือ  แซ่เตีย และร้าน แม่นุ่ม ต้นตระกูล วัฒนสุชาติ

นางเปะ ศรีนครินทร์ ภรรยา  ตงซีกิว
ลายมือที่เขียนในรูป  ลงชื่อว่า ทอ  ศรีนครรินทร์ 
(คงหมายถึงก๋งวิสุทธิ์ ตงศิริ ลูกชายคนโต)    

ชีวิตครอบครัว
                 
         ตงซีกิวแต่งงานกับนางเปะ  มีลูก 8 คน ดังนี้
         1.นายวิสุทธิ์  ตงศิริ  (ตงเค่งล้ง)
ครอบครัวก๋งวิสุทธิ์  ตงศิริ
 

ไพเราะ ตงศิริ

 
ประชา - อนงค์ ตงศิริ

ประชิต  ตงศิริ

นิสัย ตงศิริ
  (ที่เหลือนอกจากนี้ ยังไม่มีรูป  ต้องขออภัย...ได้รูปแล้วจะลงให้ครบ)

         2.ด.ช.กะต่า แซ่ตง (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)
         3.นายนิล  จงเจริญ (ตงเค่งพ่ง)


นิล จงเจริญ
          4.น.ส.ข่อง แซ่ตง   (เสียชีวิตที่เมืองจีน)
         5.นางกี  แซ่ตง
         6.นางลาน  แซ่ตง
         7.นายสว่าง  กุลดิลก
         8.นายประยุทธ(ฮวด) ตงศิริ
ประยุทธ (ฮวด) ตงศิริ

    


มีต่อยังไม่จบ


บทที่ ๓ ศักดิ์ตระกูล

ศักดิ์ตระกูล

เปิดตำนานเมื่อวานไกล      จะให้รู้เรื่องหนหลัง
ได้ยินและได้ฟัง        จากปากคำเตี่ยเล่าขาน
แซ่ตงนั้นเป็นใคร              จะสดับเป็นตำนาน
บันทึกนี้จากเหตุการณ์     เหมือนเมื่อวานเพิ่งผ่านไป

        ข้าพเจ้าเองก็ไม่แน่ใจว่าพวกแซ่ตงนี้เป็นพวกเชื้อเจ้าจากเกาะไหหลำหรือเปล่า หรือเป็นประเพณีของคนจีนที่ต้องลำดับชั้นยศหรือรุ่นเหมือนนิยายจีนกำลังภายใน แต่เรื่องที่จะเล่าบัดนี้ไปเป็นบันทึกจากตำนานที่ข้าจดบันทึกไว้จากปากคำของเด ตงเค่งเซ็ง นักสู้ที่เป็นตำนานให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา โปรดทำจิตให้ว่างเพราะต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้รู้เห็นเรื่องนี้จากที่ใดมาก่อนเลย….

        ราวช่วงปิดเทอมใหญ่ เดือน เมษายน พ.ศ.2526 หลังจากเรียนจบ ปวส.แผนกช่างกลโลหะ วิทยาลัยเทคนิคนครพนมแล้ว ได้กลับมาอยู่บ้านที่อำเภอนาแกเพื่อรอเวลาเปิดเทอมใหม่จะได้ไปเรียนที่วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกา วิทยาเขตเทคนิคขอนแก่น เนื่องจากได้รับทุนของกรมอาชีวศึกษามาเรียนประกาศนียบัตรประโยคครูมัธยมช่างอุตสาหกรรม (ปม.อ)ที่จังหวัดขอนแก่น
      
        ช่วงว่างนี้เกิดความสงสัยประวัติความเป็นมาของตระกูล ตงศิริ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร จึงได้ถามอาเด ตงเค่งเซ็ง เรื่องประวัติญาติทางฝ่ายเด ท่านได้เล่าให้ฟังไว้เยอะแยะมากมาย ซึ่งก็ได้จดบันทึกไว้ คิดว่าละเอียดพอสมควรอยู่ จึงได้บันทึกไว้เตือนความจำ แต่อาจเขียนสับสนไปบ้าง เพราะตอนฟังอาจลำดับขั้นไม่ได้ดี
         อาเดตงเค่งเซ็ง เล่าว่า ต้นตระกูลคนแรกสุดที่ตั้งเป็น แซ่ตง นั้นอยู่ที่เกาะไหหลำ จีนแผ่นดินใหญ่ ชื่อ บวั้นเต็งโต่ว (นาย บวั้นเต็ง โต่ว แปลว่า ทวด แปลว่า ทวดบวั้นเต็ง ) อยู่ที่หมู่บ้านตามที่ชาวบ้านเรียกว่า กงูละหุยหรือกะตุ่ยโผซุย หรือ โกตุ่ยโผซุย (กะตุ่ยหรือโกตุ่ย แปลว่า นกเขา โผแปลว่า เนินหรือโคก ซุย แปลว่า หมู่บ้าน  รวมกันว่า หมู่บ้านเนินนกเขา)  ต่อมาเปลี่ยนเป็น  บุ่นสิวโพซุย หรือ บุ่นติวโพซุย ใช้เรียกในภาษาราชการ

           บวั้นเต็งมีลูกอยู่ 4 คน ภาษาจีนไหหนำเรียกว่า ตี๋บ่าง และตี๋บ่างนี้เองเป็นผู้ทำให้เกิดเผ่าพันธ์เพิ่มขึ้นตามลำดับศักดิ์ตระกูล สำนวนไทยว่า ศักดิ์    ตี๋บ่างคนที่ 1,2,3,4 ไม่อาจรู้ชื่อได้ รู้แต่ว่าเชื้อสายของ  แซ่ตงอยู่อำเภอนาแก เป็นลูกของตี๋บ่างคนที่ 4  ที่สืบทอดกันมาตามลำดับ

         ในธรรมเนียมจีนจะถือผู้ชายเป็นใหญ่ ลูกผู้หญิงที่เกิดจะไม่นับเพราะแต่งงานออกไปจากครอบครัวเดิมแล้ว ดังนั้นรุ่นหรือลำดับโคตรต่อไปนี้จึงเป็นเฉพาะของผู้ชายเท่านั้น แต่หญิงก็เป็นรุ่นได้เหมือนกัน

ลำดับชั้นศักดิ์ตระกูล
          จากคำบอกเล่าของ ตงเค่งเซ็ง และที่ตรวจสอบกับเอกสารคำบอกเล่าของ ตงกวงมุ่ย และจากการสอบถามกับ ตงกวงอิ้ว ทั้ง 3 ท่านสรุปตรงกันว่ามี 10 ชั้น ดังนี้

1.บวั้น 
2.โห่ง
3.เต็ง
4.เย็ก
5.สิ หรือ ซี
6.เค่ง
7.กวง
8.หีน หรือ ฮีน
9.เสี่ยน
10.เงี๊ยบ
                                                        
    หมายเหตุ 
         เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม  ๒๕๕๕ ถึง วันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๕  ได้มีโอกาสไปที่หมู่บ้าน  แซ่ตง คือ หมู่บ้านบุ่นสิวโพซุย เกาะใหหนำ ได้สอบถามญาติแซ่ตง ท่านหนึ่งซึ่งเก็บหลักฐานเอกสารลำดับศักดิ์ตระกูลไว้ จาก อาเดของท่าน   ชื่อว่า  ตงกวงซ่าน ท่านได้ลำดับศักดิ์ไว้เหมือนกันกับที่ข้างบน  (ตงเป็นแซ่ กวง เป็นศักดิ์หมายถึงแสงสว่าง เจิดจ้า ซ่านเป็นชื่อ  มีศักดิ์เท่ากับผู้เขียน แต่อายุท่านประมาณ ๖๘ ปี)
        ส่วนคำถามที่ว่าจะมีศักดิ์ชั้นที่ ๑๑ เมื่อไหร่นั้น  ท่านบอกว่า  ต้องรอให้มีจำนวนของลูกหลานมากขึ้นก่อน  และต้องรอให้นักปราชณ์ที่มีความรู้ทางภาษาดี มาตั้งให้เพื่อความเป็นสิริมงคล
    สำหรับเรื่องศักดิ์ตระกูลนี้  ท่านอารีย์ ภู่สมบุญ  ซึ่งเป็นประธานกิตติมศักดิ์ถาวรตระกูลฝู่ใหหนำสากล  อุปนายกสมาคมใหหนำแห่งประเทศไทย ซึ่งเมตตาพาคณะผู้เขียนไปหาญาติที่หมู่บ้านบุ่นสิวโพสุย บ้านแซ่ตง ที่ใหหนำ ท่านได้ให้ความเห็นว่า  ศักดิ์ของตระกูลนี้  จะตั้งเป็นอักษรจีนเป็นชุดๆ ละ  ๕  คำ  เมื่อจะตั้งเพิ่มเติมก็ตั้งครั้งละ  ๕  คำเหมือนกัน และต้องให้นักปราชณ์ที่รู้ภาษามาตั้งให้ และยังเกี่ยวเนื่องกับกฎหมายราชการด้วย                                                              

การเรียกชื่อและความหมาย

            การเรียกชื่อในภาษาจีนนั้นเป็นเสน่ห์มาก เพราะบอกแซ่ ชั้นยศ และชื่อ ไว้ในคราวเดียวกัน     ขอยกตัวอย่างประกอบดังนี้
                 
          ตงบวั้นเต็ง หมายถึง แซ่ตง ชั้นยศ บวั้น ชื่อเต็ง
ก๋งทวดท่านนี้เป็นต้นตระกูลแซ่ตงอยู่ที่เกาะไหหนำ หรือ ไห่หนาน

                  ตงสิกิ่ว หมายถึง แซ่ตง  ชั้นยศ สิ (ซี)    ชื่อ   กิ่ว
            ตงสิคี  หมายถึง  แซ่ตง  ชั้นยศ สิ (ซี)    ชื่อ   คี
            ตงสิคิ่ว หมายถึง แซ่ตง  ชั้นยศ สิ (ซี)    ชื่อ   คิ่ว

            ตงเค่งคัง หมายถึง แซ่ตง ชั้นยศ  เค่ง   ชื่อ    คัง
            ตงเค่งผวน หมายถึง แซ่ตง ชั้นยศ เค่งชื่อ    ผวน
            ตงเค่งเซ็ง หมายถึง แซ่ตง  ชั้นยศ เค่ง ชื่อ  เซ็ง

            ตงกวงมุ่ย หมายถึง แซ่ตง  ชั้นยศ กวง  ชื่อ  มุ่ย
            ตงกวงอิ้ว  หมายถึง แซ่ตง  ชั้นยศ กวง  ชื่อ  อิ้ว
            ตงกวงตุ่ย  หมายถึง แซ่ตง  ชั้นยศ กวง  ชื่อ  ตุ่ย

ความสำคัญของศักดิ์ตระกูล
               ชั้นยศมีความสำคัญมาก นอกจากจะใช้บอกลำดับความเป็นมาและศักดิ์ฐานะของตนเองแล้ว ยังหมายถึง ความกตัญญูและการลดอัตตาตัวตนลงไปด้วย ซึ่งขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมจีนนั้น จะถืออาวุโส  ความกตัญญูและบรรพบุรุษอย่างยิ่ง  หากใครทำไม่ดีเสียหายต่อวงศ์ตระกูลแล้วจะเกิดความอับอายขายหน้าอย่างยิ่ง และ เรื่องนี้ขอยกตัวอย่างเท่าที่ได้ยินและได้พบเจอด้วยตนเองมาดังนี้
           1. อาเด  ตงเค่งเซ็ง  เล่าว่า ที่หมู่บ้านบวั่นติวโพ  ตอนนั้น หรือ บุ่นสิวโพสุย ในปัจจุบัน  ตงเค่งเซ็ง ได้ไปอยู่ที่นี่หลายปีแล้ว มีคนแก่อายุมาก ผมหงอกเต็มหัวแต่มีศักดิ์ต่ำกว่า ได้พูดจามีกิริยาไม่แสดงความเคารพต่อเด็กน้อยอายุ 1-2ขวบ แต่มีชั้นยศสูง กว่า  ผู้เฒ่าผู้แก่อาสุโสประจำหมู่บ้านได้เรียกคนแก่คนนั้นไปตักเตือนว่ากล่าว
           2.เมื่อคราวที่นายประสิทธิ์ ตงศิริ ลูกชายของ ตงกวงเต็ง  เสียชีวิตที่จังหวัดขอนแก่น  ได้จัดงานศพที่วัดป่าหน้ามหาวิทยาลัยขอนแก่น    ตอนนั้นน่าจะราวปี 2525 -2526 ผมได้มีโอกาสไปร่วมงานศพแทนเด  ตงเค่งเซ็ง หลังจากงานเสร็จได้พากันไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารกลางบึงแก่นนคร  ผมได้นั่งที่ท้ายโต๊ะอาหารซึ่งมีการรวมญาติประมาณ 30 ท่าน รู้จักกันบ้างไม่รู้จักบ้าง มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งอายุตอนนั้นน่าจะมากกว่า 60 ปี ได้มายืนข้างหลังจับไหล่กระผมทั้งสองข้าง แล้วประกาศให้ทั้งโต๊ะทราบว่า คนนี้เป็นน้องชาย ชื่อ วรวิทย์ เป็นญาติทางฝ่ายพ่อ มาจากอำเภอนาแก 
             ตอนนั้นผมรู้สึกแปลกใจมากว่า   ท่านทำไมเรียกผมว่าเป็นน้องชายทั้งที่ ลูกชายลูกสาวของท่านก็มีอายุมากกว่าผมตั้งหลายคน มาทราบความจริงทีหลังจากปากของ ตงเค่งเซ็ง  ว่า ท่านผู้นั้นมีชื่อว่า วินิจ  และคุ้นเคยกับเดผมอย่างมาก เพราะได้ไปทำวีรกรรมที่หมู่บ้านบวั้นติวโพด้วยกัน จึงสนิทสนมกันมาก(จะเล่าให้ฟังตอนหลัง) และให้ความสำคัญกับลำดับชั้นศักดิ์ยศเหมือนธรรมเนียมจีนใหหนำอย่างเคร่งครัด  ซึ่งสมควรนำไปเป็นแบบอย่างที่ดีต่อไป
 
ตงกวงอิ้ว หรือนายชาญยุทธ ตงศิริ
บ้านโนนสะอาด จังหวัดอุดรธานี 
ผู้ให้ข้อมูลนับถึงปี 2553 นี้ มีอายุย่างเข้า 87 ปี 


วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คนแซ่ตง บทที่ ๒ อารัมภกถา

บัดนี้เป็นเรื่องเล่า      ปวงเจ้าจงฟังคำขาน
ข้าจะเล่าเหตุการณ์       บรรพบุรุษมาจากแดนไกล
หากก่อนจะเล่าเรื่องนี้             ต้องพลีเวลาไว้ให้
อารัมภบทก่อนไซร้            ให้รู้ปฐมเหตุก่อนฤา

           ข้าพเจ้าเป็นลูกชายคนสุดท้องที่ 13 จากจำนวนพี่น้องทั้งหมด 14 คนของเด ตงเค่งเซ็ง กับนางราศรี พิละมาตย์ เคยนับดูแล้วมีพี่น้องมากที่สุดในอำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ตอนเป็นเด็กมัก ขี้โรค งอแง อ่อนแอ เอาใจยากและโยเยร้องไห้เก่ง (นิดหน่อย) พี่ ๆ จึงพร้อมใจกันตั้งสมญานามว่า “หลวงน้ำย้อย” พี่จิ๋วกับพี่แจ๋วบอกว่า ตอนนอนแบเบาะในอู่ร้องไห้อย่างมาก จนพี่ทนไม่ไหว โมโหไกวอู่อย่างแรง จนตกอู่ลงมานอนเงียบเกือบตาย พอโตขึ้นมาอีกร้องงอแงต้องอุ้มคาบเอวตลอดเวลา วางลงไม่ได้ร้องทุกที จนเอวพี่สาวเป็นขี้กลาก สมญานามที่ได้รับก็สมควรอยู่

ตงเค่งเซ็ง หรือ นายเซ็ง ตงศิริ

คุณแม่ราศรี ตงศิริ ลูกสาวนายฮ้อยผ้าย พิละมาตย์ กับนางนารี วงศ์ตาหล้า
เคยเข้าประกวดนางงามรัฐธรรมนูญที่อำเภอนาแกถ่ายกับ ตงกวงตุ่ย (องค์ชาย 13)

           พอโตขึ้นมาแก่พรรษาอีกหน่อยไม่รู้เตี่ยแม่คิดอย่างไร ให้ไว้ผมเปีย ผมจุกตรงกลางกระหม่อมมัดไว้ยาวเฟื้อยสีทองเรื่อ ๆ สวยงามนุ่มเหมือนเส้นไหม ใครก็ชอบจับชอบดึงกระชาก เพราะไว้ยาวแบบไม่เคยตัดเลยตั้งแต่เกิด    ไม่มีใครไว้ทรงผมแบบนี้เลยทั้งหมู่บ้าน      จึงได้สมญานามจากญาติพี่น้องว่า “บักจุก” แผลงมาจากคำว่า “ไอ้เด็กหัวจุก” จำได้ว่ามาตัดผมจุกครั้งแรกวันทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เป็นบ้านไม้สองชั้น อาเดนิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์ที่ชั้นสอง มีญาถ่านเฟื้อยเจ้าเก่าเป็นประธานสงฆ์ ในฐานะที่เป็นลูกบุญธรรมหลวงตาเฟื้อยเลยต้องตัดจุกให้ ใช้กรรไกรตัดผ้าของ เจ้วรรณ เดี๋ยวนี้ผ่านมา 49 ฝน 49 หนาวก็ยังเก็บไว้อยู่ ว่าง ๆ เอาขึ้นมาดูก็หวนคิดความหลังได้ดีเหมือนกัน
             ชื่อที่ใช้เรียกในหมู่ญาติพี่น้องเรียกว่า “บักตุ่ย” เตี่ยบอกว่าจริง ๆ ต้องเรียกว่า “กวงตุ่ย” ตามศักดิ์ที่นับมาจากธรรมเนียมจีนไหหลำ (ตอนต่อไปจะเล่าให้ฟัง ใจเย็น ๆ )  ตุ่ยหรือตุ้ยแปลว่า คู่ หรือสอง หรือ ความยุติธรรม   เผอิญตอนเด็กผิวขาวอ้วนท้วนสมบูรณ์มาก เลยเป็นเหตุให้มีคำพ้องเสียงสำเนียงอิสาน ตุ้ยกับอ้วนเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ไปเจอพวกทะลึ่งมันกลับด่าว่า เหม็นตุ๊ยตุ่ย ก็ยังดีที่ไม่โยงไปหาคำว่า ตุ๋ย ที่หมายถึงพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน ก็พวกตุ๊ดนั่นแหละจะอะไรซะอีก พวกนี้ขอตั้งสมญาให้ว่าเป็น “สถานีบริการทางเพศฉุกเฉิน” หรือ “เพศที่พระเจ้าสร้างมาอย่างลังเล”

         ตอนแรกเกิดได้ฟังจากปากแม่และเตี่ยว่าคลอดยาก เกือบตายทั้งแม่ทั้งลูก พยาบาลที่ทำคลอดให้ชื่อ คุณหมอรสสุคนธ์ (เป็นพยาบาลหรือผดุงครรภ์แต่คนบ้านนอกจะเรียกทุกคนที่ทำงานในโรงพยาบาลว่า หมอ ) หรือ หมอรส บอกว่า ให้เลือกว่าจะเลือกเอาแม่หรือลูกไว้ เดเลือกเอาแม่ แต่ทำบุญเก่าไว้เหลือเฟือมากมาย จำเป็นต้องเกิดมาใช้กรรม ทำให้รอดตายทั้งแม่และลูก แต่ก็กลายเป็นคนดังตั้งแต่แรกเกิดแล้ว เพราะมีสายแห่(สายรก)พันคอออกมาด้วย 3 รอบ ทำให้ชาวบ้านที่ทราบข่าวแห่กันมาดูเด็กประหลาดทั้งหมู่บ้าน และมีผู้ทำตัวเป็นหมอดูพยากรณ์ว่า ในอนาคตเด็กคนนี้ “ถ้าไม่ดี ต้องเลวอย่างสุดขีด” หลังจากกินข้าวหมดไปหลายกระสอบ หลายเล้าจนฟันขาวมือไม่มีขน พอโตขึ้นมาไม่เห็นว่าดีหรือเลวอย่างไร คงเดินทางไปตามกระแสกรรมทั้งสุขและทุกข์เป็นปกติของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

            ด้วยความที่เลี้ยงยากเหลือเกิน จะตีก็ไม่ได้เป็นไข้ขึ้นทุกที เตี่ยกับแม่เลยพาไปยกให้เป็นลูกของพระที่เคารพนับถือ คือ ญาถ่านเฟื้อย  อินทสาโร เพื่อนคู่สวดหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม (ตอนหลังจะเล่าให้ฟัง) คราวนี้ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะใครแตะไม่ได้ อ้างกับพี่ ๆ ว่าห้ามตีห้ามแกล้งนะ เพราะเป็นลูกพระลูกหล้า (ลูกพระลูกคนเล็ก) ถ้าใครแกล้งใครทำจะฟ้องเด เลยติดนิสัยกลายเป็นสันดานเอาใจตัวเองและดื้อแบบประหลาด ( อย่างยิ่ง…เดี๋ยวจะเล่าตอนต่อไป ก็มันมีหลายเรื่อง ) สันดานนี้เลยกลายมาเป็นคนที่ไม่ค่อยจะง้อใครซักเท่าไร ปากไม่ค่อยดีหรือปากดียิ้มง่ายแต่รอจังหวะเอาคืนทีหลังอะไรประมาณนั้น แต่รักใครรักจริง หยิ่งในศักดิ์ศรีเป็นที่สุด อันนี้ดูจะเป็นสันดานของพวกแซ่ตงทุกคน สันดานนี้เพิ่งจะมาหายตอนแก่แล้วนี่แหละ

หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ เพื่อนคู่สวดหลวงตาเฟื้อย  อินทสีโร

        ที่อารัมภกถาพร่ำเพ้อเจ้อมาอย่างมากมายเพื่อจะบอกให้รู้ว่า ตัวข้าพเจ้านั้นออกจะเป็นลูกแหง่และติดเดกับแม่มากซักหน่อย เรื่องราวหลายอย่างจึงได้ยินได้ฟังมาในมุมมองที่ไม่ค่อยเหมือนพี่น้องคนอื่น อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็ไม่ยืนยันว่าเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ จะถูกต้องเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะต่างคนก็ต่างความคิดมุมมองยอมไม่เหมือนกัน ข้าพเจ้าเพียงขอเป็นผู้นำสารน์จากอดีตกาลไกลโพ้นให้ย้อนเวลามาหาลูกหลานเหลน คนแซ่ตง ให้มีจิตใจใฝ่สำนึกในสิ่งที่ดีงาม หวลกลับคืนมาจากการหลงผิด คิดทำไม่ดีไม่งามทั้งหลาย ให้รู้จักกอบกู้ศักดิ์ศรีนามสกุลที่ใช้อยู่ ให้ตระหนักในความยากลำบากที่บรรพบุรุษต้องผจญฟันฝ่ามาอย่างแสนสาหัส ให้รู้จักอดทน อดกลั้น ต่ออุปสรรคนานา แล้วความสำเร็จจะเป็นของเรา คนแซ่ตง และเครือญาติพี่น้องลูกหลานทุกคน เพราะเป็นสัญญาหรือปณิธานที่สั่งสอนกันมาจากบรรพบุรุษว่า

“เกิดมาเป็นคนแซ่ตง ให้รักกัน อย่าทิ้งกัน”
อย่าคิดบังเบียดใคร         ด้วยวจีและกายา
จงสร้างแรงศรัทธา         ให้เฟื่องฟุ้งกระเดื่องเมือง
เกิดมาเป็น “คนแซ่ตง”          หยิ่งทนงให้ลื่อเลื่อง
น้ำใจหลั่งท่วมเมือง           เพื่อศักดิ์ศรีพลีสู่ชน