วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คนแซ่ตง บทที่ ๒ อารัมภกถา

บัดนี้เป็นเรื่องเล่า      ปวงเจ้าจงฟังคำขาน
ข้าจะเล่าเหตุการณ์       บรรพบุรุษมาจากแดนไกล
หากก่อนจะเล่าเรื่องนี้             ต้องพลีเวลาไว้ให้
อารัมภบทก่อนไซร้            ให้รู้ปฐมเหตุก่อนฤา

           ข้าพเจ้าเป็นลูกชายคนสุดท้องที่ 13 จากจำนวนพี่น้องทั้งหมด 14 คนของเด ตงเค่งเซ็ง กับนางราศรี พิละมาตย์ เคยนับดูแล้วมีพี่น้องมากที่สุดในอำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ตอนเป็นเด็กมัก ขี้โรค งอแง อ่อนแอ เอาใจยากและโยเยร้องไห้เก่ง (นิดหน่อย) พี่ ๆ จึงพร้อมใจกันตั้งสมญานามว่า “หลวงน้ำย้อย” พี่จิ๋วกับพี่แจ๋วบอกว่า ตอนนอนแบเบาะในอู่ร้องไห้อย่างมาก จนพี่ทนไม่ไหว โมโหไกวอู่อย่างแรง จนตกอู่ลงมานอนเงียบเกือบตาย พอโตขึ้นมาอีกร้องงอแงต้องอุ้มคาบเอวตลอดเวลา วางลงไม่ได้ร้องทุกที จนเอวพี่สาวเป็นขี้กลาก สมญานามที่ได้รับก็สมควรอยู่

ตงเค่งเซ็ง หรือ นายเซ็ง ตงศิริ

คุณแม่ราศรี ตงศิริ ลูกสาวนายฮ้อยผ้าย พิละมาตย์ กับนางนารี วงศ์ตาหล้า
เคยเข้าประกวดนางงามรัฐธรรมนูญที่อำเภอนาแกถ่ายกับ ตงกวงตุ่ย (องค์ชาย 13)

           พอโตขึ้นมาแก่พรรษาอีกหน่อยไม่รู้เตี่ยแม่คิดอย่างไร ให้ไว้ผมเปีย ผมจุกตรงกลางกระหม่อมมัดไว้ยาวเฟื้อยสีทองเรื่อ ๆ สวยงามนุ่มเหมือนเส้นไหม ใครก็ชอบจับชอบดึงกระชาก เพราะไว้ยาวแบบไม่เคยตัดเลยตั้งแต่เกิด    ไม่มีใครไว้ทรงผมแบบนี้เลยทั้งหมู่บ้าน      จึงได้สมญานามจากญาติพี่น้องว่า “บักจุก” แผลงมาจากคำว่า “ไอ้เด็กหัวจุก” จำได้ว่ามาตัดผมจุกครั้งแรกวันทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เป็นบ้านไม้สองชั้น อาเดนิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์ที่ชั้นสอง มีญาถ่านเฟื้อยเจ้าเก่าเป็นประธานสงฆ์ ในฐานะที่เป็นลูกบุญธรรมหลวงตาเฟื้อยเลยต้องตัดจุกให้ ใช้กรรไกรตัดผ้าของ เจ้วรรณ เดี๋ยวนี้ผ่านมา 49 ฝน 49 หนาวก็ยังเก็บไว้อยู่ ว่าง ๆ เอาขึ้นมาดูก็หวนคิดความหลังได้ดีเหมือนกัน
             ชื่อที่ใช้เรียกในหมู่ญาติพี่น้องเรียกว่า “บักตุ่ย” เตี่ยบอกว่าจริง ๆ ต้องเรียกว่า “กวงตุ่ย” ตามศักดิ์ที่นับมาจากธรรมเนียมจีนไหหลำ (ตอนต่อไปจะเล่าให้ฟัง ใจเย็น ๆ )  ตุ่ยหรือตุ้ยแปลว่า คู่ หรือสอง หรือ ความยุติธรรม   เผอิญตอนเด็กผิวขาวอ้วนท้วนสมบูรณ์มาก เลยเป็นเหตุให้มีคำพ้องเสียงสำเนียงอิสาน ตุ้ยกับอ้วนเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ไปเจอพวกทะลึ่งมันกลับด่าว่า เหม็นตุ๊ยตุ่ย ก็ยังดีที่ไม่โยงไปหาคำว่า ตุ๋ย ที่หมายถึงพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน ก็พวกตุ๊ดนั่นแหละจะอะไรซะอีก พวกนี้ขอตั้งสมญาให้ว่าเป็น “สถานีบริการทางเพศฉุกเฉิน” หรือ “เพศที่พระเจ้าสร้างมาอย่างลังเล”

         ตอนแรกเกิดได้ฟังจากปากแม่และเตี่ยว่าคลอดยาก เกือบตายทั้งแม่ทั้งลูก พยาบาลที่ทำคลอดให้ชื่อ คุณหมอรสสุคนธ์ (เป็นพยาบาลหรือผดุงครรภ์แต่คนบ้านนอกจะเรียกทุกคนที่ทำงานในโรงพยาบาลว่า หมอ ) หรือ หมอรส บอกว่า ให้เลือกว่าจะเลือกเอาแม่หรือลูกไว้ เดเลือกเอาแม่ แต่ทำบุญเก่าไว้เหลือเฟือมากมาย จำเป็นต้องเกิดมาใช้กรรม ทำให้รอดตายทั้งแม่และลูก แต่ก็กลายเป็นคนดังตั้งแต่แรกเกิดแล้ว เพราะมีสายแห่(สายรก)พันคอออกมาด้วย 3 รอบ ทำให้ชาวบ้านที่ทราบข่าวแห่กันมาดูเด็กประหลาดทั้งหมู่บ้าน และมีผู้ทำตัวเป็นหมอดูพยากรณ์ว่า ในอนาคตเด็กคนนี้ “ถ้าไม่ดี ต้องเลวอย่างสุดขีด” หลังจากกินข้าวหมดไปหลายกระสอบ หลายเล้าจนฟันขาวมือไม่มีขน พอโตขึ้นมาไม่เห็นว่าดีหรือเลวอย่างไร คงเดินทางไปตามกระแสกรรมทั้งสุขและทุกข์เป็นปกติของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

            ด้วยความที่เลี้ยงยากเหลือเกิน จะตีก็ไม่ได้เป็นไข้ขึ้นทุกที เตี่ยกับแม่เลยพาไปยกให้เป็นลูกของพระที่เคารพนับถือ คือ ญาถ่านเฟื้อย  อินทสาโร เพื่อนคู่สวดหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม (ตอนหลังจะเล่าให้ฟัง) คราวนี้ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะใครแตะไม่ได้ อ้างกับพี่ ๆ ว่าห้ามตีห้ามแกล้งนะ เพราะเป็นลูกพระลูกหล้า (ลูกพระลูกคนเล็ก) ถ้าใครแกล้งใครทำจะฟ้องเด เลยติดนิสัยกลายเป็นสันดานเอาใจตัวเองและดื้อแบบประหลาด ( อย่างยิ่ง…เดี๋ยวจะเล่าตอนต่อไป ก็มันมีหลายเรื่อง ) สันดานนี้เลยกลายมาเป็นคนที่ไม่ค่อยจะง้อใครซักเท่าไร ปากไม่ค่อยดีหรือปากดียิ้มง่ายแต่รอจังหวะเอาคืนทีหลังอะไรประมาณนั้น แต่รักใครรักจริง หยิ่งในศักดิ์ศรีเป็นที่สุด อันนี้ดูจะเป็นสันดานของพวกแซ่ตงทุกคน สันดานนี้เพิ่งจะมาหายตอนแก่แล้วนี่แหละ

หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ เพื่อนคู่สวดหลวงตาเฟื้อย  อินทสีโร

        ที่อารัมภกถาพร่ำเพ้อเจ้อมาอย่างมากมายเพื่อจะบอกให้รู้ว่า ตัวข้าพเจ้านั้นออกจะเป็นลูกแหง่และติดเดกับแม่มากซักหน่อย เรื่องราวหลายอย่างจึงได้ยินได้ฟังมาในมุมมองที่ไม่ค่อยเหมือนพี่น้องคนอื่น อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็ไม่ยืนยันว่าเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ จะถูกต้องเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะต่างคนก็ต่างความคิดมุมมองยอมไม่เหมือนกัน ข้าพเจ้าเพียงขอเป็นผู้นำสารน์จากอดีตกาลไกลโพ้นให้ย้อนเวลามาหาลูกหลานเหลน คนแซ่ตง ให้มีจิตใจใฝ่สำนึกในสิ่งที่ดีงาม หวลกลับคืนมาจากการหลงผิด คิดทำไม่ดีไม่งามทั้งหลาย ให้รู้จักกอบกู้ศักดิ์ศรีนามสกุลที่ใช้อยู่ ให้ตระหนักในความยากลำบากที่บรรพบุรุษต้องผจญฟันฝ่ามาอย่างแสนสาหัส ให้รู้จักอดทน อดกลั้น ต่ออุปสรรคนานา แล้วความสำเร็จจะเป็นของเรา คนแซ่ตง และเครือญาติพี่น้องลูกหลานทุกคน เพราะเป็นสัญญาหรือปณิธานที่สั่งสอนกันมาจากบรรพบุรุษว่า

“เกิดมาเป็นคนแซ่ตง ให้รักกัน อย่าทิ้งกัน”
อย่าคิดบังเบียดใคร         ด้วยวจีและกายา
จงสร้างแรงศรัทธา         ให้เฟื่องฟุ้งกระเดื่องเมือง
เกิดมาเป็น “คนแซ่ตง”          หยิ่งทนงให้ลื่อเลื่อง
น้ำใจหลั่งท่วมเมือง           เพื่อศักดิ์ศรีพลีสู่ชน

3 ความคิดเห็น:

  1. อ่านตั้งนาน อารัมภกภากินเวลา(หน้ากระดาน)ไปหมดหน้าแล้ว กว่าจะรู้เรื่องคงหลายเดือนพะโล เนาะ

    ตอบลบ
  2. ของดีต้องละเอียดหน่อย อย่าใจร้อน ฮ่าๆๆๆ

    ตอบลบ
  3. แซ่ตง ภาษาจีนสำเนียงแต้จิ๋ว ตือ แซ่เจ็ง
    แซ่เดียวกับบรรพบุรุษฝ่ายแม่ผม
    โลกทั้งผองก็พี่น้องกันครับ

    ตอบลบ